Skip to main content
sharethis
 
11 ม.ค.53 คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกรณี ปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 11 -12 ม.ค.53 ประกอบด้วยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานคณะกรรมาธิการฯ นายสุรจิต ชิรเวทย์ รองโฆษกคณะกรรมาธิการฯและคณะ
 
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.00 น.คณะกรรมาธิการฯได้เดินทางมายังบ้านสวนกง หมู่ที่ 7 ตำบลนาทับ เพื่อดูสภาพพื้นที่ของชายหาดที่ยังอยู่สภาพที่ยังสมบูรณ์ เพื่อเปรียบเทียบกับสภาพชายหาดที่ถูกกัดเซาะไปในพื้นที่อื่นๆในจังหวัดสงขลา และพื้นที่ดังกล่าวกำลังเป็นพื้นที่เป้าหมายในการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 และเพื่อรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการกัดเซาะชายหาดจากกรณีการสร้างเขื่อนกันทรายและกันคลื่นของกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีในพื้นที่ร่องน้ำปากคลองสะกอม
 
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย กล่าวว่า เนื่องจากได้รับการร้องเรียนประเด็นปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดสงขลา จึงได้นำเรื่องเข้าสู่กรรมาธิการวุฒิสภา และได้เชิญผู้ที่มีความรู้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูล และในวันนี้ทางคณะลงมาเพื่อรับฟังปัญหาข้อเท็จจริงจากประชาชนในพื้นที่ ข้อมูลที่ได้จะจัดทำเป็นรายงานการศึกษาเสนอต่อรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องและเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนต่อไป
 
จากนั้นทางคณะได้รับฟังข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะชายชาดจากการสร้างคลื่นกันทรายและกันคลื่น โดยมีตัวแทนชาวบ้านปากบาง หมู่ที่ 4 ต.สะกอมกล่าวว่า หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นบริเวณร่องน้ำปากคลองสะกอมทำให้เกิดการกัดเซาะชายหาดอย่างต่อเนื่อง การสร้างเขื่อนเป็นการแก้ปัญหาโดยกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะเสียประโยชน์ แม้ทางกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีอ้างว่าการสร้างเขื่อนจะช่วยแก้ไขปัญหาร่องน้ำตื้นเขินชาวประมงไม่สามารถนำเรือเข้าออกได้ในฤดูมรสุม ในความเป็นจริงการสร้างเขื่อนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทางกรมขนส่งทางน้ำฯยังได้ทำการดูดทรายบริเวณร่องน้ำปากคลองทุกปี ซึ่งเป็นการสูญเสียงบประมาณที่ซ้ำซ้อน
 
 
 
ตัวแทนชาวบ้านบ้านโคกสัก หมู่ที่ 6 ต.สะกอม กล่าวว่าสภาพชายหาดต.สะกอมในอดีตเป็นลักษณะหาด 2 ชั้น แต่หลังการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นบริเวณปากน้ำสะกอมทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะ จากเดิมบ้านโคกสักห่างจากทะเล 100 เมตร ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 50 เมตรและมีลักษณะเป็นโคลนตม ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงไปครั้งละ 200-300ล้านบาท เป็นการลงทุนแก้ปัญหาแล้วไม่เกิดผล และมูลค่าชายหาดที่ถูกกัดเซาะไปในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท วิธีที่ดีสุดในเวลานี้คือหยุดการก่อสร้างไว้ก่อนอย่าทำเพิ่ม เพราะเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินในการแก้ไขปัญหาแล้วไม่เกิดผล
 
ตัวแทนชาวบ้านบ่อโชน หมู่ที่ 7 ต.สะกอม ในตำบลสะกอมเริ่มมีการสร้างเขื่อนกันทรายและกันคลื่นในปี 2539 แล้วเสร็จในปี2540 หลังการสร้างเขื่อนทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายหาดอย่างรุนแรง และทำให้วิถีประมงพื้นบ้านริมชายหาดเปลี่ยนแปลงไปเพราะน้ำลึกขึ้น การที่ชายหาดถูกกัดเซาะทำให้ปลาหลายชนิดไม่สามารถวางไข่บริเวณชายหาด โดยเฉพาะเต่าทะเล การแก้ไขปัญหาในปัจจุบันไม่ควรทำอะไรเพิ่มเติมในทะเลเป็นดีที่สุด ไม่ว่าพื้นที่ใด อดีตการกัดเซาะชายหาดมีเป็นปกติในช่วงมรสุมพอช่วงฤดุแล้งคลื่นจะแต่งชายหาดให้เหมือนเดิม แต่หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนกันทรายชายหาดด้านหนึ่งงอกและอีกด้านหนึ่งหายไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญก่อนการก่อสร้างทางกรมขนส่งทางน้ำฯไม่ได้ชี้แจงว่าจะเกิดผลกระทบดังกล่าว
 
อยากให้กรรมาธิการตรวจสอบรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าทำแบบนี้ประเทศชาติคุ้มทุนไหม มีชาวบ้านบางส่วนฟ้องกรมขนส่งทางน้ำฯเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ถูกทาง ไม่ใช่แก้ไขปัญหาไปแผ่นดินไทยหายไป มิหนำซ้ำงบประมาณยังสูญเปล่าอีกตระหาก ไม่ใช่การเอาเงินมาถมทะเล ซึ่งกรมขนส่งทางน้ำฯมีการพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของแนวกันทรายและกันคลื่นในรูปแบบของเขื่อนใต้น้ำที่อ้างว่าเป็นรูปแบบปะการังเทียมนั้นขอยืนยันว่าการทำรูปแบบเช่นนั้น เป็นอันตรายกับชาวประมงพื้นบ้านเป็นขนาดเล็กอย่างมาก เพราะเรือประมงสามารถวิ่งชนและไม่สามารถเอาเรือเข้าออกได้ แม้ทางวิศวกรของกรมขนส่งฯจะอ้างว่าต่างประเทศทำได้ ขอยืนยันว่าที่นี่เมืองไทย จะนำรูปแบบมาใช้ไม่ได้เพราะต่างประเทศไม่มีเรือประมงขนาดเล็กแบบบ้านเราต่างประเทศเป็นเรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่
 
ทางตัวแทนชาวบ้านสวนกง ให้ข้อมูลต่อทางคณะกรรมาธิการว่า ชายหาดบ้านสวนกงเป็นชายหาดที่ยังอุดมสมบูรณ์ แต่อนาคตน่าเป็นห่วงเพราะกำลังจะมีโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ที่นี่หากเป็นเช่นนั้นจริงชายหาดที่สวนงามคงหมดไป ซึ่งการสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกต้องมีการสร้างแนวกันคลื่นถึงจำนวน 15 ตัวตามแบบเพื่อป้องกันแนวกันตัวท่าเทียบเรือไว้ ซึ่งการสร้างแนวกันคลื่นยาวตามแนวชายหาดประมาณ 5 กิโลเมตรยอมส่งผลต่อการกัดเซาะชายหาดอย่างแน่นอนในลักษณะเว้าแหว่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออาชีพประมงอย่างแน่นอน
 
จนกระทั่งเวลา 11.00 น.ได้เดินทางต่อไปยังบ่อโชนรีสอร์ท ม.7 ต.สะกอม เพื่อรับฟังปัญหาจากตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งชาวบ้านและตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบลที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ที่มาแสดงความคิดเห็นความเข้าใจผิดคิดว่าคณะกรรมาธิการฯจะมาทำการรื้อเขื่อนกันทรายและกันคลื่น จึงค่อนข้างแสดงความคิดเห็นด้วยอารมณ์แข็งก้าว จนทางคณะกรรมาธิการต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับทางชาวบ้าน ชาวบ้านจึงเกิดความเข้าใจบทบาทของกรรมาธิการว่าเพียงมารับฟังข้อมูลทุกฝ่ายเพื่อประกอบกับหลักทฤษฎีที่ทางคณะกรรมาธิการได้ศึกษาข้อมูลไว้แล้ว
 
และทางกรรมาธิการได้เปิดโอกาสให้นายสมชาย สุมนัสขจรกุล ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพเฉพาะด้านฯรักษาการผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรม กรมเจ้าท่า ซึ่งสังกัดส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร ชี้แจงข้อมูลเช่นกัน
                                                                                                                                   
จนกระทั่งเวลาบ่ายมีกำหนดการเดินทางต่อไปยังตำบลนาทับและ ตำบลเกาะแต้ว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net