ที่ผ่านมา มีการพูดถึงการแก้ไขแบบเรียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันกันมากขึ้น แต่ก็มีคำถามว่า ถ้าไทยแก้แต่เพื่อนบ้านไม่แก้จะมีประโยชน์อะไร [...] ถ้าคิดอย่างนี้การศึกษาในประเทศที่พัฒนาไปแล้วก็ควรหยุดได้แล้ว ต้องรอจนกว่าประเทศไทยเปลี่ยน ผมยังนึกไม่ออกว่าเหตุผลของคำถามนี้ฟังขึ้นตรงไหน ผมเชื่อว่าฝรั่งเศสไมได้มองสยามอย่างยุคอาณานิคมแล้ว แต่เรายังโกรธฝรั่งเศสอยู่ ฝรั่งเศสจึงควรรักษาหลักสูตรแบบอาณานิคมไว้จนกว่าไทยจะหายโกรธอย่างนั้นหรือ ประเทศต่างๆ ในโลกติดต่อกันโดยที่ไม่ต้องคิดตรงกัน ถามว่าประเทศที่พัฒนาการศึกษาเสียเปรียบประเทศที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงงั้นหรือ เราได้เปรียบหรือ ในเรื่องนี้ ประเทศที่รู้จักตัว ปรับความรู้ ปรับความคิดให้ประชาชนมีคุณภาพดีขึ้น น่าจะปรับตัวได้ดีและมีความเจริญก้าวหน้ากว่า |
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่ร้านหนังสือริมขอบฟ้า ถ.ราชดำเนิน มีการเปิดตัวหนังสือ "อุษาคเนย์ที่รัก" ซึ่งจัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีแห่งการสถาปนาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ หนึ่งในบรรณาธิการ พูดถึงหนังสือที่มีผู้ร่วมเขียนถึง 17 คนเล่มนี้ว่า ตั้งใจให้หนังสือออกมาในลักษณะที่คนร่วมเขียนมีความหลากหลายในด้านวัยวุฒิ คุณวุฒิ ความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไปในแต่ละสาขา มีตั้งแต่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 อาจารย์ที่เกษียณแล้ว นักวิชาการรุ่นใหม่ รุ่นกลาง ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน
สิทธา กล่าวเสริมด้วยว่า ความเข้าใจเรื่องประเทศเพื่อนบ้านในหนังสือเรียนตั้งแต่เราเรียนมาชั้นประถม เป็นเชิงปริมาณ เราเข้าใจว่าเมืองหลวงชื่ออะไร มีประชากรเท่าไหร่ ปกครองด้วยระบบแบบใด เราอาจได้ยินข่าวเรื่องของประเทศเพื่อนบ้านในวันที่เขาเกิดวิกฤตทางการเมืองผ่านสำนักข่าวต่างประเทศ หากไม่นับวิทยุโทรทัศน์ซึ่งไปถ่ายทำมากขึ้น ทำให้เห็นภาพการท่องเที่ยว วัฒนธรรมและผู้คน ในส่วนของหนังสือมีน้อยที่จะทำความเข้าใจเพื่อนบ้านอย่างเป็นรูปธรรม เราอาจเห็นหนังสือท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่หนังสือเชิงลึก เชิงวิชาการ ที่จะทำความเข้าใจเพื่อนบ้านอย่างเป็นรูปธรรมกลับมีน้อย
ในงานเปิดตัวหนังสือ มีการเสวนาในหัวข้อ "มิตรภาพ ศัตรู คู่แข่ง ไทยกับเพื่อนบ้านอุษาคเนย์" ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้ก่อตั้งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ตอบคำถามของพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ผู้ดำเนินรายการที่ว่า เราควรมีรั้วหรือไม่ เพราะมีภาษิตฝรั่งว่า "รั้วสร้างเพื่อนบ้านที่ดี" ว่า ถ้าไม่มีรั้วบ้านได้ก็คงจะดี เพราะรั้วจะพัฒนาเป็นกำแพง โดยทั้งรั้วและกำแพงจะกั้นความเป็นมนุษย์
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ชาญวิทย์ยกตัวอย่างหมู่บ้านหนึ่งที่เขารู้จักในจังหวัดสุรินทร์ว่าในอดีตไม่มีรั้วเลย ต่อมาเมื่อพัฒนา เศรษฐกิจดีขึ้น รั้วก็ค่อยๆ เกิดขึ้น และตามมาด้วยกำแพง ความสัมพันธ์ที่เคยเห็นเด็กๆ วิ่งเล่นเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้ก็หายไป ความเป็นปักเจกเพิ่มขึ้นสูงมากๆ ดังนั้น ในสังคมอุดมคติ ถ้าไม่มีรั้ว-กำแพงได้ก็คงดี
ขณะที่ อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มธ. เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งมีความขัดแย้งที่คล้ายคลึงกับกรณีประเทศไทยและกัมพูชา แต่มีวิธีจัดการความขัดแย้งต่างกัน โดยอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีพรมแดนติดกัน มีทั้งปัญหาการแย่งดินแดนที่ตกลงกันไม่ได้ ต้องส่งให้ศาลโลกตัดสิน
และเนื่องจากทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดกัน มีวัฒนธรรมบางอย่างร่วมกัน จึงมีความพยายามแย่งชิงความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม เช่น เพลง "ราซาซายัง" (rasa sayang) ที่แปลว่า "ความรู้สึกรัก" ซึ่งหากถามว่า ประเทศใดเป็นเจ้าของก็ตอบยาก เพราะเป็นเพลงที่ดังทั้งในมาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือไทย แต่ปัญหาเกิดขึ้นเพราะรัฐมนตรีการท่องเที่ยวของมาเลเซียเอาไปใช้เป็นเพลงสนับสนุนการท่องเที่ยว ทำให้คนอินโดนีเซียฟังแล้วไม่พอใจ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามแย่งกันเป็นเจ้าของ กริช บาติก อังกะลุง การรำ ตลอดจนถึงอาหาร มีเว็บไซต์ของทั้งสองประเทศโจมตีกันมาตลอด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรือรบของสองประเทศเผชิญหน้ากัน ผู้นำของมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการทีวีของอินโดนีเซียว่า ความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นทำในระดับบุคคล เช่น การอ้างว่าท่ารำนี้เป็นของมาเลเซีย ก็ทำโดยสถานีโทรทัศน์ซึ่งไม่ใช่ของรัฐบาล การแย่งชิงที่ดินก็ดี หรืออะไรก็ดีนั้นเกิดขึ้นเพราะก่อนหน้านี้ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เป็นรัฐชาติมาก่อน เราตีความร่วมกันทางวัฒนธรรม เราน่าจะเป็นบรรพบุรุษร่วมกัน ไม่มีคำไหนที่เขาบอกว่า เราเป็นพี่เป็นน้องกัน และบอกว่าเขาสามารถเชื่อใจ SBY (ชื่อย่อของประธานาธิบดีซุซิโล บัมบัง ยุดโยโน) ได้ว่า จะไม่ทำสงครามหรือก่อความขัดแย้งขึ้น
ชุมชนการเมืองที่ดีเริ่มขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่เห็นใบหน้าของคนอื่นในชุมชนเดียวกับเรา
ด้าน ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ความรู้แบบอุษาคเนย์สำคัญกับรัฐศาสตร์ เพราะพูดถึงสิ่งที่รัฐศาสตร์ละเลย นั่นคือการเอาคนกลับมาเป็นศูนย์กลางของการศึกษา นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจในการมองอุษาคเนย์คือ กระบวนการสร้างความเป็นสมัยใหม่ของสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเรื่องที่นักศึกษาด้านอุษาคเนย์รู้ แต่นักรัฐศาสตร์ไม่ค่อยรู้หรือไม่ค่อยสนใจคือเรื่องความรุนแรง โดยนักรัฐศาสตร์จะมองความรุนแรงในแง่ความหมายกว้าง เช่น มองเป็นเรื่องปกติแบบแมกซ์ เวเบอร์ แต่ถ้าถามว่า ความรุนแรงทำงานอย่างไรในการสร้างสังคมสมัยใหม่ นักรัฐศาสตร์จะพูดไม่ค่อยเยอะ
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ศิโรตม์เล่าว่า ในงานรัฐศาสตร์วิชาการ ที่ มอ. หาดใหญ่ มีผู้ตั้งคำถามว่า รัฐศาสตร์จะมีทางออกอย่างไรกับปัญหาชายแดนใต้ แต่เขากลับมองว่า ปัญหาอย่างชายแดนใต้ หรือปัญหาแบบนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้อะไรกับรัฐศาสตร์บ้างหรือไม่ ชวนให้เห็นไหมว่ารัฐศาสตร์ไม่เข้าใจอะไรบ้าง ซึ่งเมื่อลองนั่งอ่านงานที่นักวิชาการเขียนเรื่องชายแดนใต้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พบว่าทุกวันนี้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาคใต้ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยมีเยอะมาก เช่น เรื่องปัตตานีไม่ใช่ของไทย การแบ่งแยกดินแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของคนหลายๆ กลุ่ม หรือ เรื่องประวัติต่อต้าน ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของรัฐ
ทั้งนี้ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างดินแดน ด้วยความเปราะบางทางสังคม ประวัติศาสตร์และอคติที่มี ก่อให้เกิดความบาดหมาง การปะทะกันขึ้น โดยยกตัวอย่างกรณีไทยและกัมพูชา ซึ่งเรามีอคติกับเพื่อนบ้านอยู่แล้ว ทั้งยังรับรู้ประวัติศาสตร์ในเชิงถูกกระทำ มองว่าเราเสียดินแดนไป แต่ไม่เคยสนใจว่าเราเคยไปทำกับใครเขาไว้ ก่อให้เกิดความขัดแย้งเรื่อยมา อีกทั้งคนไทยยังถูกสอนให้เชื่อว่าบางเรื่องเป็นความจริงแท้ ไม่ให้ตั้งคำถาม ถ้าตั้งคำถามก็จะถูกถามว่า เป็นคนไทยรึเปล่า หรือเป็นคนไทยประเภทไหน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)