Skip to main content
sharethis

7 ก.พ. 53 – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ และ เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานว่า ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรค นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค และนายประพันธ์ คูณมี ผอ.พรรค ร่วมแถลงข่าวท่าทีพรรคการเมืองใหม่ประจำสัปดาห์ถึงกรณีสภาล่มซ้ำซากว่า รัฐสภา โดยเฉพาะในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องทบทวนการทำงานของตน ด้วยความสำนึกต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบ คำนึงเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนที่มาจากภาษีของประชาชน

กรณีสภาล่ม ไม่ครบองค์ประชุมบ่อยครั้ง นอกจากทำให้การขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติสะดุดแล้ว ยังทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาหรือสิ้นหวังต่อระบบรัฐสภา ที่หลายฝ่ายพยายามบอกว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย

พรรคการเมืองใหม่ขอเรียกร้องให้ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กำหนดเป็นข้อบังคับหรือระเบียบให้ชัดเจนเรื่องการขาดการประชุม เช่น ขาดการประชุมโดยไม่มีใบลากิจหรือลาป่วยหรือมีเหตุผลอันสมควร หากเกิน 3-5 ครั้งต้องพ้นสภาพความเป็นสมาชิกรัฐสภา

นายสำราญ กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคการเมืองใหม่ขอสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและองค์กรแนว ร่วม ได้ร่วมกันแสดงตนยื่นหนังสือขอถอดถอน 102 ส.ส.ที่ร่วมกันยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 122

(มาตรา 122 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไม่อยู่ ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์)

น่าเชื่อว่าหากยังคงเดินหน้ากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัด แย้งทางการเมืองทั้งในและนอกสภา เพราะสุดท้ายแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่จำกัดอยู่แค่มาตรา 94และมาตรา 190

ประการสำคัญ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดัน ต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นหลัก

“นายพิภพ ธงไชย ตัวแทนพันธมิตรฯ ได้ยื่นถอดถอน 102 ส.ส. การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเพียงลับ ลวง พรางทางการเมือง ที่ใช้เป็นเกมกดดันต่อรองกับพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก สุดท้ายน่าจะมีวาระซ่อนเร้น จะทำให้การเมืองวุ่นวาย เนื่องจากมีร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายแพทย์เหวง โตจิราการที่ยื่นรอไว้ก่อนหน้านี้ ” นายสำราญ กล่าว

นายสำราญ กล่าวถึงสถานการณ์รัฐบาล –คนเสื้อแดง ว่ากรณีพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณีและพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล “เสธ.แดง” ประกาศที่จะตั้งกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผบ.สูงสุด ซึ่งต่อมามีการปฏิเสธไปแล้วนั้น นอกเหนือจะเป็นความตลกขบขันแล้วกรณีดังกล่าวยังเป็นความเหิมเกริมไม่รู้จัก ที่ต่ำที่สูง ความเหมาะควร

ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างพล.อ.พัลลภ,พล.ต..ขัตติยะ กับกลุ่ม นปช.โดยเฉพาะกับ 3เกลอ “วีระ จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ยากที่คนเหล่านี้จะปรับความเข้าใจกันได้ตราบใดที่พวกเขายังรับใช้ ทักษิณด้วยกัน

สถานการณ์จากนี้ไปมีโอกาสที่จะเกิดความตึงเครียด รุนแรงได้ ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ. แต่ถ้าจะเกิดความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมือง น่าจะเป็นหลัง 26 ก.พ.

ทั้งนี้พรรคการเมืองใหม่ เห็นว่า โดยสรุปพ.ต.ท.ทักษิณยังคงเคลื่อนไหวกดดันและคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิม ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุชัยชนะ จะมีความพยายามเดินเกมในสภาเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ถึงขั้นมีบางฝ่ายเสนอว่าจะให้พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคชาติไทยพัฒนา) เป็นนายกรัฐมนตรีกดดันทั้งในสภา นอกสภา ให้นายกฯตัดสินใจยุบสภา กดดันจนสถานการณ์จลาจล นองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนี้น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดันป่วนทั้งในและนอกสภาเพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”

พรรคการเมืองใหม่ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็งเด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ๆที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ให้เป็นไปในลักษณะ “เลี้ยงสถานการณ์”เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจนมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชนสองฝ่ายเกิดการเผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น

นายสำราญ กล่าวอีกว่า มีโอกาสที่จะเกิดความตึงเครียด รุนแรง ทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ.ที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความรุนแรงในระดับเผาบ้านเผาเมืองน่าจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 26 ก.พ.โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเคลื่อนไหวกดดันโดยคั่วไพ่หลายหน้าเช่นเดิมเพื่อให้บรรลุชัยชนะ ทั้งการเดินเกมในสภาและนอกสภา โดยในสภามีความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ผลักประชาธิปัตย์กลับไปเป็นฝ่ายค้าน ถึงขั้นเสนอให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้จะกดดันให้นายกรัฐมนตรียุบสภา ขณะที่เกมนอกสภาจะกดดันให้เกิดการจลาจล นองเลือด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง

“น้ำหนักโดยรวมน่าจะอยู่ที่การกดดัน พรรคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้มแข็ง เด็ดขาดในการใช้มาตรการทางกฎหมาย ใช้สื่อของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญ ที่ถูกบิดเบือน ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะเลี้ยงสถานการณ์ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจมากเกินไป เพราะจะทำให้ประชาชน 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากันโดยไม่จำเป็น” นายสำราญ กล่าว

ทางด้านนายสุริยะใส กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่เชื่อว่า ไม่น่าจะมีเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีเงื่อนไขความรุนแรงอยู่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้วันหนึ่งอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขการปฏิวัติได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าประมาทในการข่าวและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ส่วนภาพความขัดแย้งของ พล.อ.พัลลภ กับแกนนำเสื้อแดงนั้น เชื่อว่า เป็นเพียงความขัดแย้งในการชิงการนำเท่านั้น คงไม่ขยายวงขัดแย้งไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธในเรื่องจัดตั้งกองทัพประชาชนฯ ไม่น่าจะเป็นการปฏิเสธที่แท้จริง เพราะแนวทางการตั้งโรงเรียนการเมือง หรือการตั้งกองทัพแดงต่างเป็นความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น แต่ต้องออกมาปฏิเสธเพราะ พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัตติยะ ทำให้ข่าวรั่วไหลออกมาก่อนเท่านั้น

“ผมยังเชื่อว่า แนวทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ไม่ใช่แนวทางสันติวิธี แต่จะใช้ความรุนแรง ขอให้จับตาการจัดระเบียบการนำในแกนนำเสื้อแดง โอกาสที่จะยึดอำนาจการนำจากแกนนำเสื้อแดงสามเกลอ ไปยังสองนายพลเป็นไปได้สูง สามเกลอเป็นแค่สีสันสงครามเท่านั้น โดยได้ปฏิเสธแล้วว่า ช่วงสงกรานต์พวกเขาล้มเหลว” นายสุริยะใส กล่าว

นายสุริยะใส ถึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหาร หลังจากที่ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางเยือนพื้นที่ดังกล่าว ว่า เป็นการแสดงความได้เปรียบทางสากล เนื่องจากในช่วง 2-3เดือน ข้างหน้าจะมีการประชุม คณะกรรมการมรดกโลก

ทั้งเห็นว่าการที่ สมเด็จฮุนเซน ออกมาระบุว่าจะเปิด การท่องเที่ยวระหว่าง 2ประเทศนั้น เป็นเพียงคำพูดให้หลงเชื่อ ซึ่งรัฐบาลไม่ควรไว้วางใจในท่าที และพฤติกรรม ของนายฮุนเซน พร้อมทั้ง ผิดหวังต่อบทบาทของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยที่แสดงความอ่อนแอในเรื่องนี้ที่ปล่อยให้กองกำลังทหารของ กัมพูชาเข้ามาพื้นที่ประเทศไทยอย่างง่ายดาย

ดังนั้น เรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าทวงคืนเขาพระวิหารต่อศาลโลก โดยขณะนี้ google ซึ่งเป็นเว็บระดับโลกยังได้ยึดเอาเขตสันปันน้ำเป็นเขตแดนประเทศไทยโดยแสดง ชัดเจนต่อทั่วโลกว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศ ต้องหยิบยกประเด็นนี้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงฟ้องร้องต่อศาลโลกเพื่อยืนยันว่า ไทยมีสิทธิเหนือตัวปราสาทเข้าพระวิหาร โดยจะต้องนำข้อเท็จจริงขึ้นร้องต่อศาลโลกเพื่อให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ว่าคำพิพากษาของศาลเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เป็นคำพิพากษาที่ผิด มีการเอาแผนที่ของประเทศมหาอำนาจมาเป็นหลักเพราะรับใช้ลัทธิล่าอาณานิคม โดยเชื่อว่านานาชาติจะออกมาร่วมให้ความเป็นธรรมในเรื่องนี้และกดดันให้ ศาลโลกต้องคืนสิทธิเหนือตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับไทย

นายประพันธ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา จะเห็นได้ว่า ขณะนี้นายฮุนเซ็น กำลังใช้เลห์กลเพื่อชิงความได้เปรียบทางสากลมากดดัน ดังนั้นตนผิดหวังกับรัฐบาลไทยที่ไม่มีการออกแถลงการณ์มาตอบโต้ให้กัมพูชาให้ ถอนกำลังทหารหรือชุมนุมออกจากพื้นที่ทับซ้อนเลย รัฐบาลควรทำมากกว่าการพูด ขณะเดียวกันยังขอให้รัฐบาลนำหลักฐานใหม่ที่เป็นแผนที่ใน เวปไซด์กูเกิล เอิร์ธ มาใช้ฟ้องร้องกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่แตกต่างจาก 50 ปีที่แล้ว

ที่มาข่าว: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, เว็บไซต์ไทยรัฐ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net