นักข่าวพลเมือง : ชาวแม่รำพึงแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทสหวิริยา รุกที่ป่าสงวนเกือบพันไร่

ชาวบ้านแม่รำพุึงระบุ ที่ดิน 798 ไร่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง วนอุทยานแม่รำพึง พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ป่าไม้ถาวรตามมติ ครม. และป่าคุ้มครอง ซึ่งกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนแล้ว แต่รัฐยังปล่อยให้ใช้

 


 

8 ก.พ. 53 ที่ สภ.บางสะพาน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตัวแทนชาวบ้านราว 200 คน นำโดยนายวิฑูรย์ บัวโรย     ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญากับบริษัท สหวริริยาอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ในกรณีบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง กับ พ.ต.อ.ชาติชาย เครือพานิช ผู้กำกับ สภ. บางสะพาน

จากกรณีที่ที่ดินจำนวน 52 แปลง ของบริษัทสหวิริยา และบริษัทในเครือฯ บริเวณท่าเรือน้ำลึก(บ.ท่าเรือประจวบ จก.)ได้ถูกเพิกถอนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินเลขที่ 14/2553 ถึงที่ 17/2553 และที่ 20/2553 ลงวันที่ 5 มกราคม 2553 จำนวน 5 คำสั่ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 798 ไร่ โดยที่ดินดังกล่าวมีทั้งที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง วนอุทยานแม่รำพึง พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามมติ ครม.วันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ป่าไม้ถาวรตามมติ ครม. และป่าคุ้มครอง ป่าคลองแม่รำพึง พ.ศ. 2484 ซึ่งต่อมาทางบริษัทสหวิริยาก็ได้ทำการยื่นอุทธรณ์เรื่องดังกล่าวไปยังกรมที่ดินแล้ว

นายวิฑูรย์ บัวโรย ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงชี้แจงถึงที่มาของการที่ชาวบ้านมาแจ้งความในครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมา เคยมีกลุ่มทุนใหญ่ในพื้นที่เคยถูกตัดสินว่า ได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบทับที่สาธารณะบริเวณทุ่งนกกระเรียนและทุ่งลานควายในหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 4 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน (เนื้อที่ 300 กว่าไร่) แล้วทำการปรับถมเปลี่ยนแปลงสภาพ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุมก็ไม่ได้ยุติการบุกรุกเพื่อรอการพิสูจน์ แต่กลับปลูกสร้างอาคาร ลานจอดรถ สนามฟุตบอล ถนนและสาธารณูปโภค ต่อมาจังหวัดประจวบฯได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ น.ส 3 ก.ทั้งหมด เมื่อต้นปี 2539 แต่กลุ่มนายทุนได้ยื่นอุทธรณ์และขอเยียวยา สุดท้ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้กลุ่มทุนเช่าที่ดังกล่าวต่อกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบฯเพื่อประกอบกิจการอุตสาหกรรมเหล็กจนกระทั่งปัจจุบัน      

“ที่ดินที่มีคำสั่งเพิกถอนนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในเขตป่าไม้พิเศษที่มีความสำคัญถึง 5 ประการ ผมและชาวบ้านที่ติดตามเรื่องนี้มาก็เกรงว่า บริษัทจะต้องใช้วิธีการเดิมๆ ของกลุ่มทุนคือเปลี่ยนจากการรุกเป็นขอเช่า ซึ่ง ณ วันนี้พวกเราคงยอมไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญและเชื่อมโยงถึงการเป็นแหล่งอาหารชองชาติ หากเราสูญเสียพื้นที่เหล่านี้ไป แน่นอนในอนาคตคนไทยจะต้องกินปลาทูที่มีราคาแพงขึ้นจากปัจจุบันมากเพราะมลพิษต่างๆ ที่ปล่อยจากอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำจะทำให้แหล่งอาหารของชาติถูกทำลายลงอย่างถาวร เราจึงต้องแจ้งความเพื่อดำเนินคดีทางอาญากับบริษัทสหวิริยา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นถึงความสำคัญของการนำที่ป่าสงวนกลับคืนมาเป็นของแผ่นดินโดยชอบธรรม” ประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงระบุ

แกนนำชาวบ้านแม่รำพึงกล่าวย้ำด้วยว่า ที่ดินเกือบพันไร่นี้ ยังอยู่ในเขตป่าไม้พิเศษที่มีความสำคัญถึง 5 ประการ มากกว่ากรณีที่ดินเขายายเที่ยงซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนเพียงอย่างเดียวและมีเนื้อที่เพียง 20กว่าไร่ ชาวบางสะพานจึงอยากวอนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาครัฐว่า หากจะดำเนินการปราบปรามและยึดเอาสมบัติของแผ่นดินคืนอย่างจริงจังก็ควรทำในทุกกรณี มิใช่ทำบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่เชื่อมโยงประเด็นทางการเมืองเท่านั้น

“ผมจึงอยากจะฝากประเด็นที่ดินที่บางสะพานด้วยว่า ที่ดินเกือบพันไร่ที่มีคำสั่งเพิกถอนจากอธิบดีกรมที่ดินนี้อยู่ในที่ที่มีความสำคัญถึง 5 ชั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะสามารถนำที่ดังกล่าวกลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดินได้หรือไม่ และโดยเฉพาะกับพ่อเมืองประจวบคีรีขันธ์ คุณวีระ ศรีวัฒนตระกูล ที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507  เข้าจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างแม้แต่ต้นมะเขือจากชาวบ้าน อ.ปราณบุรี ที่รุกที่ป่าสงวนเพียง 1 ไร่ ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรกับบริษัทสหวิริยาที่รุกที่ป่าสงวน วนอุทยาน พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ เขตป่าไม้ถาวร และเขตป่าคุ้มครอง เป็นจำนวนเกือบพันไร่ จะใช้มาตรการใดที่จะเอาที่ดินที่ถูกบุกรุกจากนายทุนกลับมาเป็นสมบัติของชาติอย่างถาวร”

ด้าน พ.ต.อ.ชาติชาย เครือพานิช ผกก.สภ.บางสะพาน กล่าวว่า จะทำการศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่ทางกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึงนำมายื่นในครั้งนี้ และขั้นตอนต่อจากนี้ก็จะทำการสำรวจสถานที่จริงที่ถูกเพิกถอนตามขอบเขตและอำนาจของเจ้าพนักงานและจะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเพื่อมาให้ปากคำแต่ละหน่วยงาน เช่น ที่ดินสาขาบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ป่าไม้ฯลฯ ในการที่เห็นชาวบ้านมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ บริษัท สหวริยาในครั้งนี้ ก็เข้าใจว่า ชาวบ้านมาด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ที่ต้องการรักษาพื้นที่ป่าให้เป็นสมบัติของแผ่นดินสืบไป

“ขอยืนยันว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรมและจะแจ้งความคืบหน้าต่อนายวิฑูรย์ บัวโรย เป็นระยะ ส่วนการสืบสวนนั้นเมื่อทางเจ้าพนักงานทำการสืบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้วพบว่า ทางบริษัทฯยังมีการเข้าใช้พื้นที่ที่ถูกเพิกถอนอีก เจ้าพนักงานก็จะต้องทำเรื่องขออำนาจศาลในการเข้าจับกุมผู้กระทำผิดต่อไป ”

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท