สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพม่าและชายแดนไทยล้วนตกอยู่ภายใต้ภาวะอึมครึมเนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่เข้าถึงได้มีอยู่อย่างจำกัด และบุคคลภายนอกมิอาจแสวงหาโอกาสในการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลได้โดยง่าย ปัจจัยอุปสรรคนี้เองจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่คนในพื้นที่อาจต้องเผชิญเนื่องจากไม่มีช่องทางใดๆในการส่งข้อมูลออกสู่สังคมและประชาคมโลกเพื่อต่อสู้ทางความคิดอันเป็นบ่อเกิดของความชอบธรรมในการดำรงความเป็นมนุษย์
แม้พม่าจะมีการประกาศจัดการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปในช่วงเดือนตุลาคมเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางการพัฒนาสู่ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญพม่า แต่กระบวนการดังกล่าวอาจเป็นเพียงพิธีกรรมหาใช่วิธีการสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองของประชาชนชาวพม่าอย่างแท้จริง หากการเลือกตั้งมิได้อยู่ในการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมจากกลุ่มต่างๆ และสิ่งสำคัญอีกประการคือต้องเปิดเผยต่อประชาคมโลก นอกจากนี้กระบวนการพิสูจน์ความเป็นพลเมืองของพม่า และการเฝ้าระวังการทุจริตเลือกตั้งด้วยกลวิธีต่างๆก็เป็นสิ่งที่พึงระวัง แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ การเปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองทั้งหลายมีโอกาสในการเข้าแข่งขันลงรับสมัครเลือกตั้งอย่างอิสระมากขึ้น
เมื่อมองย้อนกลับมาที่นโยบายทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของไทยที่เกี่ยวข้องกับประเทศพม่า ก็น่าวิตกไม่แพ้กัน เนื่องจากมีสัญญาณสะท้อนให้เห็นแนวทางในการดำเนินนโยบายเชิงผลประโยชน์โดยงดเว้นการแทรกแซงกิจการภายในของพม่า ไม่ว่าจะเป็นการผสานความร่วมมือใน นโยบายเปิดพรมแดนรับการอพยพของแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในพื้นที่แม่สอด การใช้ประโยชน์จากเขื่อนบริเวณลุ่มน้ำสาละวิน แต่ละเว้นการจัดการปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมต่อแรงงานต่างด้าวและผู้หนีภัยสงครามจากพม่า
หากมองถึงพื้นฐานเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ที่เคยผ่านประสบการณ์การเป็นเมืองขึ้นและเกือบเป็นเมืองขึ้น ก็จะเห็นถึงความคิดแบบชาตินิยมที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้กับรัฐตน โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่มีต่อประเทศอื่น ประชาชนกลุ่มอื่นที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความเป็นพลเมืองของรัฐตน จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อนโยบายของรัฐไทยต่อพม่ายังคงดำเนินไปแบบ “แสวงหาจุดร่วมในเชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมือง สงวนจุดต่างในนโยบายประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องจากความมั่นคงในระยะยาว เนื่องจากคนย่อมแสวงหาโอกาสในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะสามารถจัดการปัญหาผู้อพยพและแรงงานข้ามชาติ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ในประเทศพม่า เพราะไม่มีพรมแดนใดในโลกที่ปิดกั้นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือเรายินดีที่สถานการณ์ดำรงอยู่เช่นนี้
ประเทศไทยมิได้ผูกพันตนเข้ากับอนุสัญญาด้านผู้ลี้ภัย และการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว แต่ยังพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มิใช่พลเมืองไทยตามพันธกรณีอื่นๆที่ไทยเข้าร่วม เช่น กติกาสิทธิพลเมืองและการเมืองฯ กติกาสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ฯลฯ รวมถึงกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ดังนั้นรัฐไทยจึงมีแนวทางที่เป็นคุณต่อการประกันสิทธิของบุคคลอันเป็นกลุ่มเสี่ยงภายใต้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศเสมอมา แต่เมื่อมีการถกเถียงประเด็นเหล่านี้ภายในสังคมไทยกลับพบอคติและจุดยืนที่ไม่เป็นคุณต่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอยู่จำนวนไม่น้อย โดยข้อถกเถียงหลักตั้งอยู่บนประเด็นที่ว่า “สิทธิใดที่รัฐไทยพึงคุ้มครองให้กับบุคคลที่มิใช่ชนชาวไทย”
ปัญหาแรก คือ บุคคลที่มิใช่คนไทยสามารถเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้หรือไม่ หากดูจาก “หลักห้ามผลักดันกลับไปยังดินแดนที่เสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร” จะพบว่า ผู้ที่หนีภัยข้ามมาย่อมมีสิทธิในหลบภัยเข้ามาอาศัยอยู่ชั่วคราวแต่ต้องอยู่ในพื้นที่ซึ่งรัฐไทยกำหนดอย่างเคร่งครัด แนวทางปฏิบัติต่อคนกลุ่มนี้คือ ห้ามผลักดันกลับหากยังเสี่ยงอันตราย ซึ่งต้องถามความสมัครใจจากผู้ที่จะถูกผลักดันกลับเป็นสำคัญ แต่คนที่อพยพเข้ามาโดยไม่มีเหตุเสี่ยงภัยอันใดย่อมตกอยู่ในสถานะคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แนวทางการจัดการปัญหาของคนกลุ่มนี้จึงอยู่อำนาจอธิปไตยของรัฐไทย
ผู้อพยพและแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายถือเป็นมนุษย์และบุคคลตามนิยามของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิต่างๆตามที่กฎบัตรรับรองแน่นอน รัฐไทยในฐานะที่มีพันธกรณีอยู่กับกฎบัตรสิทธิมนุษยชนย่อมมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และงดเว้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ แต่กลุ่มดังกล่าวมิใช่พลเมืองสัญชาติไทย ดังนั้นจึงมีการถกเถียงกันว่าหากรัฐไทยต้องประกันสิทธิเสรีภาพทั้งหมดให้กับผู้อพยพและแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายอาจจะสร้างภาระและมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐไทย คำถามที่เฉพาะเจาะจงกับปัญหาบุคคลกลุ่มนี้มากขึ้นก็คือคือ “สิทธิใดบ้างที่แม้แต่คนข้ามชาติหรือไร้สัญชาติพึงได้รับการคุ้มครอง” ไม่ว่าจะด้วยผลของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ อาทิ กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง หรือผลของกฎหมายภายใน อาทิ รัฐธรรมนูญ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)