Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

จำได้ว่าคำขวัญทางการเมืองคำขวัญหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย กล่าวไว้ว่า "แมวเหมียวสีไหน ขอให้จับหนูได้ก็พอ ..."
 
ฮ่าๆ แต่เผอิญคนจำนวนไม่น้อยนั้นไม่ใช่หนู หรือถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นหนู ก็ไม่ใช่หนูง๊องแง๊ง แมวก็เลยจับไม่ค่อยจะได้ ...
 
แถมหนูยังจับไต๋แมวได้อีกต่างหาก
 
นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า หนูสีอะไรก็รู้ว่าแมวสีอะไรก็คือแมววันยังค่ำ ...
 
เกริ่นเรื่องซะยาวเช่นนี้ ก็ขออภิปรายประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจอยู่สักสามเรื่อง ท่ามกลางบรรยากาศการเผชิญหน้าทางการเมืองที่ดำเนินอยู่
 
ประการหนึ่ง กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย และคนกรุงเทพก็ไม่ได้เป็นเจ้าของกรุงเทพ
 
คนทั้งประเทศก็เป็นเจ้าของกรุงเทพฯ เท่ากับที่คนกรุงเทพฯก็เป็นเจ้าของที่อื่นๆด้วยนั่นแหละครับ
 
เรื่องนี้ต้องเข้าใจให้ชัด เพราะในแต่ละวัน กรุงเทพฯนั้นก็อยู่ได้ด้วยคนต่างจังหวัดอยู่แล้ว เวลาจะทำข่าวก็ต้องนุ่มนวลกันสักนิด อย่า "ม่วง" ให้มากนักครับ
 
ลองคิดในทางตรงข้ามว่า มาโวยวายว่าคนต่างจังหวัดเข้ามาวุ่นวายในกรุงเทพฯ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ คำถามก็คือถ้าลองคิดในทางตรงกันข้ามว่า ถ้าคนต่างจังหวัดเขาออกไปหมดบ้างหล่ะ กรุงเทพฯจะอยู่ยังไง จะอยู่กับแรงงานต่างด้าวไหวไหมครับ
 
จำไว้ว่าเมื่อพูดถึงเมือง ในทางภูมิศาสตร์ เรากำลังสนใจความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับพื้นที่โดยรอบเสมอ เพราะเมืองดูดความมั่งคั่งมาจากพื้นที่โดยรอบเสมอ
           
ประการที่สอง มายาคติเรื่องของ "พลังเงียบ" ที่เป็นเสียงข้างมากนั้นไม่น่าจะเป็นความจริงสักเท่าไหร่
 
ไม่ใช่ว่าพลังเงียบไม่มี แต่พลังเงียบนั้นอาจจะเป็นกองเชียร์ของทางเสื้อแดงก็ได้ ดังนั้นต้องระวังว่าการพูดถึงพลังเงียบว่าเป็นเสียงข้างมากที่คิดตรงกับสื่อ เพราะอาจส่งผลต่อความรู้สึกของพลังเงียบมากขึ้นก็ได้ (เพราะเขามีสื่อของเขา)
 
เช่นนี้แล้วการเล่นข่าวเรื่องพลังเงียบอาจสร้างความรู้สึกที่ตรงข้ามกับความมุ่งหมายของสื่อที่ยังเชื่อว่าตนเป็นสื่อของมวลชนนั่นแหละครับ
 
ประการที่สาม เราเคยวิตกว่าประเทศไทยนั้นมีกีฬาสี ระหว่างเหลืองกับแดง หรือแดงเจอกับน้ำเงิน
 
แต่วันนี้เรากำลังเจอกับกลุ่ม "สีตก" ที่ "เนียน" เข้ามาในการเคลื่อนไหว และชิงพื้นที่สื่อ
 
เรียกแบบขำๆว่า "ขาวเนียน"
 
กลุ่มสีตก/ขาวเนียน เนี่ยเป็นกลุ่มที่แตกต่างไปจากกลุ่มสีขาวเดิม ที่เคยถูกกล่าวหาว่าหน่อมแน้ม แต่พวกหน่อมแน้มเหล่านั้นไม่เคยหนุนสีใดสีหนึ่งโดยตรง เขาพยายามอธิบายให้ทุกฝ่ายเข้าใจประเด็นเรื่องของสันติวิธี และการต่อสู้ไม่ให้ความรุนแรงเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหามาตั้งแต่ต้น
 
กลุ่ม "ขาวเนียน" เดิม นั้นสวมเสื้อสีอื่น เข้ามาในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในฐานะผู้รู้ (ภาษาที่ง่ายกว่านี้คือ สวมเสื้อคลุม หรือเกาะชายเสื้อคลุมของสีขาว) แล้วมาพร่ำสอนแล้วมาประเมินว่าจะต้องไม่มีความรุนแรง โดยมีสมมุติฐานที่ว่าคนที่ชุมนุมนั้นไม่มีความรู้ในการต่อสู้ในทางสันติวิธี และเป็นพวกที่ชอบความรุนแรง หรือถูกชักจูงให้สร้างความรุนแรงได้มากขึ้น
 
นอกจากนี้ การเติบโตของกลุ่มสีตก/ขาวเนียนนี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยจริตของสื่อเนียนที่ทำข่าวการชุมนุมว่าเป็นข่าวความรุนแรง นั่นคือกลุ่มขาวเนียนเติบโตด้วยดิน (และปุ๋ยเร่ง)แห่งความหวาดกลัว การพูดถึงสันติวิธีของพวกนี้จึงเป็นเสมือนการปิดปากคนอื่น ว่าคนอื่นไม่มี/ไม่ใช้สันติวิธี
 
สันติวิธีมีแนวทางเดียว คือต้องตามพวกเขา
 
คำถามก็คือจะมีใครตรวจสอบพวกขาวเนียนเหล่านี้? (ย้ำว่าไม่ได้หมายถึงว่าสีขาวทุกคนขาวเนียน แต่เราจะตรวจสอบสีขาวได้อย่างไร)
           
สรุปว่า เรื่องแนวฮาร์ดคอร์ แบบแดงเทียมเนี่ยจะป้องกันก็ยากอยู่ แต่มาเจอขาวเนียนเนี่ยยิ่งหนัก ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จะตรวจสอบขาวเนียนจากขาวแท้ และจากเหลืองแท้และแดงแท้ที่ยึดมั่นในสันติวิธีก็คือ การไม่พยายามขับเน้นว่าใครใช้ความรุนแรงก่อนนั้นแพ้ เพราะวิธีอธิบายแบบนี้ คือไปควานหา "ระเบิด/อาวุธ" และ "ความตาย/ความสูญเสีย" เพื่อหาทางให้อีกฝ่ายมีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงโต้ตอบและปิดปาก
 
มาลองนึกว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้เพราะถูกจับได้ว่าใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะที่ถูกจับได้โดยพวกขาวเนียน ประเด็นคือมันจะลดความขัดแย้งได้ไหม มันจะกลายเป็นเกมส์ที่สอง ที่ต่อจากการหาช่องโหว่ทางกฏหมาย ที่คราวนี้จะเป็นเรื่องของการแพ้ฟาวล์ที่คล้ายกับการจับการซื้อเสียงมากเข้าไปอีก
 
ทางออกคือ การส่งเสริมความอดทนอดกลั้น เมื่อถูกกระทำด้วยความรุนแรงหรือยั่วยุ ก็จะต้องอดทนอดกลั้นมากขึ้น และเน้นการสื่อสารและเรียกร้องจากการสื่อสารด้วยจิตใจ ให้เห็นว่ามีทุกข์ที่ถ้าเปิดใจก็จะเข้าใจ จะดีขึ้นทั้งสองฝ่าย เพราะชัยชนะในทางสันติวิธีนั้นอยู่ที่ฝ่ายที่ชนะนั้นชนะทางจิตใจ และทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนจุดยืนและการกระทำ ไม่ใช่ชนะด้วยการครอบงำและปิดปากด้วยความหวาดกลัว
 
และต้องเข้าใจทั้งสองฝ่ายว่าถ้อยคำยั่วยุนั้นจะต้องลดลง หรือต้องเข้าใจว่าอะไรคือลีลา อะไรคือเนื้อหา เหมือนที่แข่งกีฬาแล้วเรียกว่ากองทัพ หรือสงคราม หรือร้องว่าฆ่ามัน ไม่ได้แปลว่าฆ่ากันจริงๆ ดังนั้นสองฝ่ายต้องกล้ายอมรับว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขาทีเล่นหรือทีจริง
 
ไม่งั้นต่อไปก็ไม่ต้องมีกองเชียร์กีฬาอะไรกันแล้ว ไม่ต้องใช้คำว่ากองทัพ หรือสงครามในความหมายของกีฬาอีกต่อไป
           
เอาหล่ะครับ (ทน) อ่านมาจบจบ ก็ได้แต่หวังว่าหนูทั้งหลาย จะมองเห็นว่าแมวสีไหนก็คือแมว และเข้าใจว่าแมวขาวแท้ กับแมวขาวเนียนต่างกันนะครับ แล้วก็ตางจากคนเสื้อขาวเดิม (พี่ที่ผมเคารพคงจะฝากแซวด้วยว่า ขาวเนียน ก็ยังดี เดี๋ยวเจอ "ขาวเกรียน" จะแย่ไปอีก เอิ๊กๆ)
 
 
(ปรับปรุงครั้งแรกจากบทความในคอลัมน์ ประชาธิปไตยฯที่รัก ที่ชื่อว่า "ขออภัยครับ ... แบบว่า "สีตก" (ขาวเนียน) ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เมื่อวันที่  วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๓ หน้า ๔)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net