Skip to main content
sharethis

สรรเสริญชี้มี ‘ผู้ก่อการร้าย’ แฝงตัวในผู้ชุมนุมเตรียมระเบิดขวด ไม้เหลาแหลม ไม้ตอกตะปู น้ำกรด มีการรื้ออิฐบล็อกมาทุบเป็นก้อนไว้ทำร้าย จนท. เตรียมบั้งไฟไว้ถล่มเฮลิคอปเตอร์ดังนั้น จนท. จึงปรับการทำงานจะไม่ใช้โล่ดันแล้ว แต่อาจจะปฏิบัติเฉียบขาดเพื่อปกป้องชีวิต จนท. ยอมรับแล้วผู้ชุมนุมเสื้อแดงร้อยละ 70 มาจาก กทม.-ปริมณฑล ที่เหลือมาจากต่างจังหวัด

เมื่อวานนี้ (20 เม.ย.) เวลา 10.30 น. ณ แหล่งสมาคมนายทหาร กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงภายหลังการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานการประชุม

 

สรรเสริญชี้มีผู้ก่อการร้ายแฝงตัวในผู้ชุมนุมเตรียมระเบิด ไม้เหลาแหลม น้ำกรด

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า จากที่ได้เรียนสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ว่า ได้มีการเชิญผู้บังคับหน่วยถึงระดับผู้บังคับกองพัน หรือรองผู้บังคับกองพันที่ปฏิบัติหน้าที่แทน มาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติเมื่อถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ากดดันกำลังเจ้าหน้าที่

โดยวันนี้ ศอฉ.ได้มีการทบทวนเรื่องเดิม และมีการรายงานข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม ทั้งในส่วนข่าวส่วนกลาง และหน่วยทหารที่ลงพื้นที่แล้ว ซึ่งมีการรายงานตรงกันว่ากลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ได้มีการเตรียมระเบิดขว้าง ระเบิดขวด ไม้เหลาแหลมทั้งที่ใช้ลักษณะของการถือแทง หรือยิงจากหน้าไม้ ไม้ที่ตอกตะปู น้ำกรด

 

ลั่นจะรักษาระยะห่างไม่ใช้โล่ดันแล้ว เพราะผู้ชุมนุมมีอาวุธที่ทำให้เสียชีวิต

ฉะนั้น ศอฉ. จึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงให้ทราบว่า เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจจำเป็นต้องปรับแนวทางการปฏิบัติ จากเดิมที่เจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง ตั้งแต่การใช้โล่ดันจนถึงขั้นสุดท้ายคือการใช้กระสุนยาง ไม่ใช้กระสุนจริงในการป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่ ซึ่งวันนี้จะต้องปรับใหม่โดยจำเป็นจะต้องรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้ปฏิบัติงาน กับกลุ่มผู้ชุมนุมให้ได้ระยะประมาณ 30 - 40 หลาเพื่อความปลอดภัย คงจะไม่สามารถใช้โล่ไปดันกันอยู่ได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมมีระเบิดขว้าง น้ำกรด ไม้เหลาแหลม ซึ่งล้วนแต่ทำให้เสียชีวิตได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นขั้นตอนการปฏิบัติจะเป็นลักษณะของการรักษาระยะให้ห่างจากกลุ่มผู้ชุมนุมในระยะดังกล่าว

 

จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก อาจจำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเฉียบขาดเพื่อปกป้องชีวิต

ทั้งนี้ เริ่มต้นอาจจะต้องทำการยิงด้วยแก๊สน้ำตาจากเครื่องยิง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกผ่านแนวสกัดเข้ามา ถ้าเลยจากนั้นจะเป็นไปตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก คือการใช้น้ำ เครื่องขยายเสียงกำลังสูง แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง และใช้กระสุนยางที่ยิงจากปืนลูกซอง แต่ถ้าไม่สามารถ สกัดกลุ่ม ผู้ชุมนุมได้ก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติการในลักษณะความเฉียบขาดเพื่อปกป้องชีวิต เพราะถือว่าได้พยายามที่จะดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างที่สุดแล้ว ถ้าผู้ชุมนุมยังบุกเข้ามาอีก เจ้าหน้าที่ก็มีความจำเป็นต้องใช้อาวุธ

"แต่อย่างที่เรียนให้ทราบเมื่อวานนี้ว่า การใช้อาวุธก็ต้องมองให้ได้ใน 3 ลักษณะคือเราไม่ได้หมายที่จะเอาชีวิตท่าน เราทำเพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติที่ผิดกฎหมายของท่านให้ได้ แล้วก็สมเหตุสมผล ซึ่งจากภาพการปฏิบัติที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากมี เชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชน สื่อมวลชนจะเข้าใจ จากวิธีการในการปฏิบัติ อาวุธปืน กระสุนจริงก็คงจะยิงไปในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นไปตามหลักการทั้ง 3 ข้อ นอกเสียจากว่าเราจะตรวจพบกลุ่มผู้ที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของกลุ่มผู้ชุมนุม และพยายามที่จะยิงทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุม หรือยิงทำร้ายเจ้าหน้าที่ อย่างนี้ก็มีความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ทหารที่มองเห็นเป้าหมายจะสามารถใช้อาวุธของเขา ในการที่จะยับยั้งสิ่งนี้ได้" โฆษกศอฉ. กล่าว

อย่างไรก็ตาม โฆษกศอฉ. กล่าวว่า หากวันข้างหน้ามีการขอพื้นที่การชุมนุมคืน เราก็ยังปฏิบัติตามกฎของการใช้กำลัง 7 ข้ออยู่เหมือนเดิม คือการใช้โล่ดัน การแสดงกำลัง การใช้กระบอง ฉะนั้นจึงต้องแยกแยะให้ถูกว่า การปฏิบัติที่เจ้าหน้าที่เคลื่อนที่เข้าหากลุ่มผู้ชุมนุมนั้นก็เป็นไปตามหลักสากลจากเบาไปหาหนัก แต่ถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามที่จะเคลื่อนที่ไปในที่ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถให้ไปได้ เนื่องจากจะทำความสูญเสียให้กับสังคมโดยรวม ก็จะดำเนินการในลักษณะของการรักษาระยะต่อห่างจากกลุ่มผู้ชุมนุมในระยะ 30 - 40 หลา

 

ยันไม่มีข่าว ศอฉ. สั่งดำเนินการใน 7 วัน

พร้อมกันนี้ โฆษก ศอฉ. กล่าวว่าเมื่อวานนี้มีข้อมูลข่าวสารลักษณะทำนองว่า มีคนนำเอาข้อมูลในการประชุม ศอฉ. ไปแจ้งกับบรรดาแกนนำนปช. ซึ่งในการนำเสนอข่าวได้แสดงกระดาษที่มีการเขียนชัดเจนว่า จะต้องดำเนินการให้ได้ภายใน 7 วัน ยอมให้มีผู้สูญเสียได้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ตนเรียนยืนยันได้ว่าข้อมูลนี้เป็นเท็จ ในฐานะที่ตนเป็นโฆษก ศอฉ. มีส่วนรับผิดชอบในฝ่ายเลขานุการของการประชุม ตนไม่เคยทำเอกสารอย่างที่ว่านี้ และไม่เคยเห็นด้วย เพราะโดยปกติแล้วในการประชุมทุกครั้ง ประธานการประชุมไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. หรือผู้ช่วย ผอ.ศอฉ. จะย้ำทุกครั้งเสมอว่าการปฏิบัติภารกิจจะต้องมีความรอบคอบ ละเอียด และใช้สติตลอดเวลา ให้นึกเสมอว่าคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเรา หรือเราจะเคลื่อนที่ไปหาเขา คือคนไทยด้วยกัน ต้องพยายามใช้มาตรการอย่างพอเหมาะพอสมที่สุด

 

ลั่นไม่ยอมให้ผู้ชุมนุมไปศิริราช

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมทำหนังสือของเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ โฆษกศอฉ.กล่าวว่า มีคนพูดเยอะแล้ว และท่านก็โตกว่าตน ท่านน่าจะคิดอะไรได้ดีมากกว่าตน ให้สังคมเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ถ้าหากว่ากลุ่มผู้ชุมนุมบุกไปที่ รพ.ศิริราช คงไปไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และพระองค์ท่านอยู่เหนือความขัดแย้งทางด้านการเมือง ส่วนเรื่องการสลายการชุมนุมพร้อมเมื่อไหร่ทำทันที ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนไปที่ รพ.ศิริราชนั้น ศอฉ. ก็คงจะไม่ให้ไปอย่างนั้น และประชาชนก็จะฝากความหวังเรื่องนี้ไว้กับเจ้าหน้าที่ทหาร และ ตำรวจ อะไรที่ผ่อนปรนได้ก็จะผ่อนปรนเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง

 

ยอมรับผู้ชุมนุมร้อยละ 70 มาจาก กทม.-ปริมณฑล

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ เข้าข่ายเป็นกบฏแห่งราชอาณาจักรหรือไม่นั้น โฆษกศอฉ. กล่าวว่า จะต้องพิจารณากันไปตามข้อกฎหมาย ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิต บอกว่าจะเกิดความสูญเสียภายใน 1 - 2 วันนี้นั้น เป็นมุมมองของท่าน แต่เจ้าหน้าที่จะพยายามทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าจำเป็นอะไรจะเกิดก็จะต้องเกิด แต่ก็จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่สังคมเข้าใจ ทั้งนี้ ศอฉ.ประเมินว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณราชประสงค์ ประมาณ 15,000 - 16,000 คน คิดเป็นคนต่างจังหวัด 30 เปอร์เซ็นต์ คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 70 เปอร์เซ็นต์

 

ชี้เสื้อแดงสร้างความวุ่นวายด้วยการรื้ออิฐไว้ทำร้าย จนท. เตรียมบั้งไฟไว้ถล่ม ฮ.

ต่อมา เวลา 20.30 น. พ.อ.สรรเสริญ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ศอฉ. ว่า ที่ประชุมมีการพูดถึงเรื่องความพยายามของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนที่พยายาม จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม โดยมีการรื้อถอนอิฐบล็อกซีเมนต์ นำมาฟาดกับพื้นให้เป็นก้อนอิฐเท่ากำมือไว้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ในกรณีที่จะมี การเคลื่อนพล ซึ่งทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหาทำลายทรัพย์สินของ กทม.

และวันนี้ได้รับรายงานจากหน่วยรอบพื้นที่ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีการจุดพลุตะไลขึ้นไปหวังสร้างอันตรายให้กับเฮลิคอปเตอร์ ทั้งนี้ มีการตรวจพบบั้งไฟขนาดความกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2-3 เมตร จำนวนมาก ซึ่งการจุดบริเวณราชประสงค์หวังสร้างความลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ อากาศยาน แต่เราไม่วิตกว่า อากาศยานจะถูกบั้งไฟ แต่กลัวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงจะได้รับอันตราย หากโดนสะเก็ดไฟตกลงมาใส่ตาข่ายที่เป็นเชื้อวัตถุไวไฟก็จะก่อให้เกิด อันตรายต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง

 

แสดงว่าพื้นที่การชุมนุมไม่ปลอดภัย ใครอยากกลับบ้านจะไปส่ง

“ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า พื้นที่การชุมนุมไม่ปลอดภัยจริงๆ อยากวิงวอนให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว หากผู้ชุมนุมคนใดประสงค์จะเดินทางกลับบ้าน ขอให้แจ้งให้ทราบ แม้จะถูกยึดบัตรประจำตัว และใส่เสื้อแดงก็สามารถกลับบ้านได้ โดยออกมาพบตำรวจเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้อำนวยความสะดวก ซึ่งจะไม่มีตำรวจคนใดจับท่านขณะนี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมามีข่าวค่อนข้างคลาดเคลื่อนว่า มีการเลื่อนประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.) นั้น ขอเรียนว่า การประชุม นขต.เป็นการประชุมตามวงรอบปกติ ทุกเดือน ไม่มีลับลมคมใน ส่วนที่จำเป็นต้องเลื่อนไปเป็นวันศุกร์ที่ 23 เมษายนนี้ เพราะเราให้ความสำคัญกับกรณีที่เสื้อแดงจะเคลื่อนไปสีลม ซึ่งเรามีทหารที่มีการตั้งจุดตรวจสกัดอยู่ ซึ่ง ผบ.หน่วยจะต้องมาดูแลเพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธหลากหลายชนิด ซึ่งขอเน้นย้ำว่า วันนี้เจ้าหน้าที่มีความพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติภารกิจที่บังคับใช้ตามกฎหมาย อยู่ที่สถานการณ์ความเหมาะสมจะบีบบังคับเจ้าหน้าที่ขนาดไหน ขณะนี้รอแค่วันเวลาเหมาะสม” โฆษก ศอฉ.กล่าว

โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่มีความพยายามปิดกั้นถนนตรวจสอบรถที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทั้งที่ไม่ได้มีอำนาจ และยังมี ส.ส.บางพรรคการเมืองเป็นแกนนำในการดำเนินการ ตรวจสอบพลทหารที่จะเดินทางไปพักที่บ้าน ซึ่งขณะนี้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ตำรวจดำเนินคดีแล้ว ส่วนกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงนำผลการประชุม ศอฉ.มาปล่อยว่า จะมีการปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน และยอมให้มีการสูญเสียคน 500 คน ศอฉ. ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยทำหนังสือฉบับนี้ และไม่เคยมีผลการประชุมอย่างนี้ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเราหลีกเลี่ยงความรุนแรงมาโดยตลอด ทั้งที่นายกรัฐมนตรีมีการเจรจา ทหารมีการปรับวางกำลังถอนตัวมาตลอด ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็พยายามใช้การเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับเจรจา

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก

ศอฉ. ปรับแนวปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง เข้มมาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล, ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล, 20 เม.ย. 53 http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1779&contents=44001

ศอฉ.พบกลุ่มเสื้อแดงรื้อถอนอิฐบล็อกซีเมนต์มาทำเป็นก้อนอิฐซึ่งอาจ ใช้ทำร้ายเจ้าหน้าที่, ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล, 20 เม.ย. 53 http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1779&contents=44016

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net