โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุ หลายฝ่ายแย่งชิงกันจัดงานวันเกิดให้กับ "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นเพียงกิจกรรมเอาหน้าเพื่อให้นายใหญ่เห็นถึงความภักดี และเป็นการเปิดโอกาสให้ทักษิณโฟนอินเข้ามาระบายอารมณ์ เพื่อลดความฟุ้งซ่านของตัวเอง

วันนี้ (25 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยเร็วว่า

เป็นการฉวยโอกาสนำข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศมาขยายผลทางการเมือง เพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล ทั้งที่เรื่องนี้นายกฯ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอของ คปร. แต่จะต้องใช้ความรอบคอบในการพิจารณา และคงจะมีการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ให้หมดไปโดยเร็ว ตามข้อเสนอทุกประการ แต่อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในการยกเลิกทั้งหมดจะต้องอยู่ที่บรรยากาศและความร่วมมือของคนทั้ง ประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่ยังคงสนับสนุน ให้มีการเคลื่อนไหวแบบลับๆ กับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา การที่จะบอกว่าให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ก่อนแล้วพร้อมที่จะเข้าร่วมการปรองดอง นั้นก็อยากจะถามว่าทำไมพรรคเพื่อไทยไม่ยุติความเคลื่อนไหวก่อนเพื่อให้บ้าน เมืองเข้าสู่ภาวะปกติ และรัฐบาลก็จะได้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ในทันที

“แต่ถ้าหากว่าพรรคเพื่อไทยยังเล่นบทตีสองหน้า โดยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก. อีกหน้าหนึ่งสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และยังปล่อยให้สมาชิกพรรคของตนเองเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างจังหวัดอยู่ เช่น การชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม การจัดวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และการจัดนิทรรศการสัญจรของพรรคเพื่อไทยล้วนแต่เป็นการเคลื่อนไหวที่มีวาระ ซ่อนเร้นทางการเมืองแอบแฝงอยู่ทั้งสิ้น” นายเทพไทกล่าว

ส่วนกรณีที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตนพร้อมคณะจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อหารือกับนายกฯ ให้เลิกใช้วิธีตีสำนวนและนิสัยโต้วาทีแบบเด็กๆ นายเทพไทกล่าวว่า นายกฯ ไม่ใช่เป็นคนที่พูดจาในลักษณะตีสำนวน หรือตอบโต้แบบนักโต้วาทีแต่อย่างใด จะกล่าวหาว่านายกฯ ยังเป็นเด็กอยู่นั้นก็อาจจะเป็นเด็กแค่ด้านวัยวุฒิ แต่ในด้านคุณวุฒิสูงกว่าคนในพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำไป ถ้าต้องการเพียงเพื่อไปพูดเรื่องดังกล่าวกับนายกฯ ก็ไม่ควรที่จะไปรบกวนเวลาในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ เลย ตนในฐานะโฆษกประจำตัวก็พร้อมที่จะพูดคุยและทำความเข้าใจกับนายปลอดประสพและ คณะ เพราะที่ผ่านนายกฯ ไม่เคยให้ความสำคัญกับประเด็นที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาใส่ร้ายและบิดเบือน ตัวนายกฯ และการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของโฆษกประจำตัวที่ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงและตอบโต้ ข้อกล่าวหาที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจมากยิ่ง ขึ้น

นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่มีสมาชิกพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. แกนนำกลุ่มแดงสยามได้ออกมาจัดกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ ว่า แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้ยังคงต้องการเอาเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่สี่แยกราชประสงค์มาขยายผล และสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นต่อไป โดยเฉพาะการประกาศจัดนิทรรศการ 7 วัน 7 ความเจ็บปวดใน 6 จังหวัดในภูมิภาคต่างๆ เป็นการนำความเท็จไปปลุกระดม และเป็นการให้ข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวเพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกเกลียดชังและ ต่อต้านรัฐบาล เพียงหวังผลคะแนนนิยมให้แก่ตัวเอง โดยลืมคิดถึงความแตกแยกและขัดแย้งของคนในชาติ ไม่อยากให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยนำเรื่องดังกล่าวไปขยายผลในลักษณะเป็นการให้ ข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่ขณะนี้ได้มีคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติที่มีกรรมการชุดต่างๆ รับผิดชอบในเหตุการณ์การชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน กำลังรวบรวมและหาข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ให้ คำตอบแก่สังคม จะมีความเป็นธรรมและเหมาะสมที่สุด

แต่หากการจัดนิทรรศการสัญจรครั้งนี้เป็นแค่การเทกแอ็กชันทางการเมือง เพื่อให้นายใหญ่เห็นความเคลื่อนไหว โดยหวังท่อน้ำเลี้ยงจะไหลมาอีกครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถทัดทานได้ เพราะความรู้สึกรักเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ มันสำคัญกว่าความรู้สึกรักชาติของกลุ่มคนเหล่านี้

“เช่นเดียวกัน การแย่งชิงกันจัดงานวันเกิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณในจังหวัดต่างๆ ก็เป็นเพียงกิจกรรมเอาหน้า เพื่อให้นายใหญ่เห็นถึงความภักดีของกลุ่มคนเหล่านี้ และเป็นการเปิดโอกาสใช้เวทีจัดงานวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินเข้ามาระบายอารมณ์ เพื่อลดความฟุ้งซ่านของตัวเอง เช่น การจัดงานวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มแดงสยามที่ราชบุรี ที่มีคนเข้าร่วมน้อยกว่าเจ้าหน้าที่ไปรักษาความปลอดเสียด้วยซ้ำไป และมีฝนตกอย่างถล่มทลายแสดงให้เห็นว่าฟ้าดินไม่เต็มใจ และทุกครั้งที่มีการจัดการชุมนุมของคนเสื้อแดงฟ้าดินจะลงโทษอย่างรุนแรงไม่ ว่ากิจกรรมนั้นจะจัดขึ้นที่ใดก็ตาม ส่วนการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เข้ามาพูดกับผู้ร่วมงานก็เป็นพฤติกรรมเดิมๆ ยิ่งกว่าแผ่นเสียงตกร่อง ตัดพ้อต่อว่าใส่ร้ายรัฐบาลให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับคนเสื้อแดง เพ้อฝันว่าจะกลับมาประเทศไทยเพื่อจะแก้ปัญหาให้กับคนเสื้อแดง ทั้งที่ปัญหาของตัวเองก็ยังแก้ไม่ได้ เอาตัวไม่รอดเสียด้วยซ้ำไป การออดอ้อนว่าจะกลับมาประเทศไทยก็เป็นลีลาเดิมๆ ที่โฟนอินซ้ำซาก ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถใช้เครื่องบินส่วนตัวบินกลับประเทศไทยได้ตลอดเวลา แต่ที่ไม่กล้ามาเพราะกลัวจะถูกดำเนินคดีและถูกจับติดคุก จึงพยายามเคลื่อนไหวขอความเห็นใจและเอาประชาชนคนเสื้อแดงเป็นเกราะคุ้มกัน ตัวเอง” นายเทพไทกล่าว

นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจ้างนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทำหนังสือปกข่าวโจมตีประเทศไทยจนทำให้หลายฝ่ายออกมาต่อต้านและประณามนั้น พรรคเพื่อไทยกลับออกมาใส่ร้ายคนที่มีความคิดเห็นเช่นนี้รวมถึงกล่าวหาว่า รัฐบาลตื่นตูมกลัวความจริง ขอชี้แจงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลขวัญอ่อนที่จะมาตื่นตูมกับความเคลื่อน ไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ที่ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ไม่ให้คนไทยคนหนึ่งมาเคลื่อนไหวทำร้ายชาติของตัวเอง และรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ใช่เป็นรัฐบาลที่กลัวความจริงตามที่กล่าวหา ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลก็พร้อมให้มีการพิสูจน์ แม้กระทั้งการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อให้มีการอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับ เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมถึงให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในสมัยประชุมวิสามัญก็ เคยทำมาแล้วตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างหากที่กลัวความจริง ขี้ขลาดตาขาว ว่าจ้างฝรั่งตาน้ำข้าวเคลื่อนไหวในต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลข้อมูลข่าวสารได้รับข้อมูลผิดๆจากบริษัท ล๊อบบี้ยิสต์ และสื่อมวลชน ที่ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจ้างให้มาใส่ร้ายประเทศชาติตัวเอง

ส่วนกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาปฏิเสธว่าสมุดปกขาวที่ทำขึ้นไม่ได้เป็นการทำร้ายประเทศไทยนั้น นายเทพไทกล่าวว่า ถือว่าเป็นหน้าที่ของนายนพดลที่ออกมาปกป้องเจ้านายตัวเองให้คุ้มกับอัตราค่า จ้างในฐานะที่ปรึกษากฏหมาย แต่เชื่อว่าคนไทยทุกคนที่กินข้าวได้อ่านหนังสือปกขาวฉบับดังกล่าวตั้งแต่ต้น จนจบก็จะมีความรู้สึกได้ทันทีว่านี่คือขบวนการดิสเครดิตรัฐบาล ทำร้ายประเทศชาติจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง เว้นแต่คนที่กินหญ้าบางกลุ่มเท่านั้นที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เป็นการใส่ร้าย เป็นการให้ข้อเท็จจริงแก่สังคม