Skip to main content
sharethis

สถานพินิจฯ ชร.นัด นักเรียน ม.5 เข้าบำบัดจิต 16 - 17 ส.ค.นี้ หลังไปรายงานตัวคดีผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีชูป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” เจ้าตัวงงไปตรวจสภาพจิตผลยังไม่ออก ทำไมต้องเข้าบำบัด เผยแม่หนักใจคดีอาจยืดเยื่อ แต่ยันกำลังใจยังดี

วันนี้ (2 ส.ค.53) นายกอ (นามสมุติ) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เชียงราย ผู้ตกเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืน พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) กรณีชูป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” “นายกครับอย่าเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพัง” และ “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ” ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายซึ่งยังมีการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่อยู่ในขณะนี้ ได้เข้ารับการตรวจสภาพจิตกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.เชียงราย หลังจากที่ได้ไปรายงานตัวที่สถานพินิจฯ แล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา

 
ภาพจาก  Danny Chiangrai
 

นายกอให้ข้อมูลว่า ในช่วงเช้าวันนี้ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ เชียงราย และได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา ซึ่งมีทั้งการตอบคำถาม ให้วาดรูป และให้นำภาพมาประกอบกัน ซึ่งคิดว่าเพื่อดูความมีเหตุมีผลในการคิดตัดสินใจ จากนั้นเมื่อได้ทำการคืนแบบทดสอบถาม เจ้าหน้าที่ก็ส่งใบนัดให้ไปบำบัดจิต ในวันที่ 16 - 17 ส.ค.นี้ตั้งแต่ 9.00 -16.00 น.ทั้งที่ยังไม่ได้ทำการตรวจแบบทดสอบที่ให้มาก่อนหน้านี้ ทำให้รู้สึกงงที่ต้องไปบำบัดทั้งที่ยังไม่ทราบผลการตรวจ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังย้ำบอกให้มาตามนัดด้วย  

เขากล่าวด้วยว่า การที่ต้องไปให้ของมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่านมา ทำให้ต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง และในครั้งนี้เจ้าหน้าที่สถานพินิจก็นัดในวันจันทร์-อังคาร ทำให้เกรงจะมีปัญหากับการเรียน อีกทั้งงานที่ต้องส่งอาจารย์มีมาก เนื่องจากขณะนี้ใกล้ปิดเทอมแล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเมื่อต้องขาดเรียนจะมีเพื่อนๆ คอยเก็บงานไว้ให้ว่าจะต้องทำอะไร และจากคดีความที่เกิดขึ้นเจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อใดๆ ความสัมพันธ์กับเพื่อนและอาจารย์ที่โรงเรียน

นายกอเล่าถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับนักศึกษาในจังหวัดเชียงรายอีก 4 จนกลายเป็นกรณีครึกโครมในขณะนี้ว่า เป็นการนัดกันผ่านทาง Facebook และวันที่ทำกิจกรรมก็เป็นการเจอหน้ากันครั้งแรก โดยได้ไปทำกิจกรรมชูป้ายกันที่ตลาดสดเทศบาล ที่หอนาฬิกาแห่งใหม่ซึ่งได้เดินไปจนถึงหอนาฬิกาเก่า ซึ่งก็มีคนผ่านไปยกนิ้วและยิ้มให้ จากนั้นก็ไปที่ทางขึ้นศาลากลางจังหวัดโดยยืนถ่ายรูปกันอยู่ราว 10 นาที ไม่คาดฝันว่าเหตุการณ์จะเป็นถึงขนาดนี้

 
 

“ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะคิดว่าเป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองในพื้นที่ ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” นายกอกล่าว อีกทั้งยังบอกด้วยว่าตอนที่ทำกิจกรรมนั้นรู้สึกว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาต้องกลับมาตั้งคำถามว่าได้ทำผิดจริงหรือไม่ ผิดอย่างไร? และข้อกล่าวหาที่ว่าทำให้เกิดความหวาดกลัวนั้นคือหวาดกลัวอะไร?

นายกอ เล่าต่อมาว่าช่วงแรกๆ ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเขารู้สึกกลัว เพราะหลังทำกิจกรรมในวันที่ 16 ก.ค.ได้มีตำรวจมาหาที่บ้านถึง 2 ครั้งในวันเดียวกันเพื่อมาสอบถามและขอค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ จากนั้นในวันจันท์ที่ 19 ก็มาที่บ้านอีกครั้งพร้อมกับหมายค้นและหมายเรียกผู้ต้องหา โดยได้ยึดเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเขาไปด้วยโดยอ้างว่านำไปตรวจสอบข้อมูลซึ่งถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการรายงานผลการตรวจสอบ และยังไม่มีการคืนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก

ส่วนผลกระทบต่อครอบครัว นักเรียนชั้น ม.5 คนดังกล่าวเล่าว่าคุณแม่ของเขาเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับจากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันว่าจะไปปรึกษาใคร จะทำอย่างไรกันดี เพราะนอกจากคดีความแล้วยังกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับหน้าที่การงานของคุณพ่อ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขู่ว่าถ้าไม่ให้ความร่วมมือพ่อซึ่งเป็นข้าราชการอาจโดนคำสั่งโยกย้าย และขณะนี้ก็เริ่มกลับมาเครียดอีกครั้งเนื่องจากเกรงว่าเรื่องจะยืดเยื้อต่อไปไม่ยอมจบ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการพูดว่าพวกเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง นายกอกล่าวว่าคนที่พูดไม่มีสิทธิมากล่าวหาลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานอะไร ส่วนคนเสื้อแดงที่ถูกหมายเรียกพร้อมๆ กันนั้นเป็นเพียงคนที่เคยพบกันและมีการขอชื่อเพื่อคุยกันผ่าน Facebook ไม่ได้มีการนัดแนะร่วมกันในการทำกิจกรรม ดังที่มีคนพยายามโยงใย

“เราไม่ใช่เครื่องมือ เพราะสิ่งที่ผมทำมันคือความเห็นของผมเอง” นายกอ กล่าว

นายกอกล่าวด้วยว่า ขณะนี้เขามีกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้างทั้งพ่อ-แม่ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ต่างบอกให้เขาสู้ต่อไป ส่วนคนอื่นๆ ที่ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน จากที่ผ่านมาได้เจอและได้พูดคุยถามไถ่ว่ากำลังใจยังดีอยู่ไหม คำตอบที่ได้คือกำลังใจยังดีกันทุกคน

“ผมจะพูดตามความจริง ข้อกล่าวหาอะไรที่ไม่ใช่ความจริงจะปฏิเสธ" นักเรียนชั้น ม.5 กล่าวเมื่อถามถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อไปในการต่อสู้กับข้อกล่าวหา ส่วนจะทำกิจกรรมอะไรต่อไปหรือไม่คงต้องรอให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่เสียก่อน

ทั้งนี้ จากกิจกรรมชูป้ายคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นายกอและนักศึกษาอีก 4 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมือง จ.เชียงราย ตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยง ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ประกาศกำหนด ร่วมกันเสนอข่าว ทำให้แพร่หลายซึ่งสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มีโทษสูงสุดคือจำคุก 2 ปีและปรับไม่เกิน 20,000 บาท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net