“เพ่งพินิจ พิศพักตร์ ลักษณะ งามจังหวะ มารยาท สะอาดสิ้น
นวลละออง สองปราง อย่างลูกอิน โอษฐ์ดังลิ้น จี่จิ้ม ยิ้มยวนใจ
กรรณเกศ เนตรขนง นาสิกศอ ดังเหลาหล่อ ล่อจิต พิสมัย
ถันเคร่ง เต่งตั้ง บังสะไบ แลวิไล สวยสะพรั่ง ทั้งกายา”
บทชมโฉมในเรื่อง ราชาธิราช
! มนุษย์ตามล่าความงามมาตั้งแต่ยุคใดไม่ปรากฎแน่ชัด แต่การสรรค์สร้างสิ่งที่เป็นความ
สวยงามผ่านการดำเนินชีวิตมีปรากฎอยู่ในทุกสังคม การผลิตสิ่งของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มักจะมีการ
สอดแทรกความงดงามลงไปด้วยเสมอ
จากสิ่งของที่ไม่มีชีวิตเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่ปริมณฑลของเรือนร่างที่มีชีวิต
ความงามของเรือนร่างมนุษย์หลายสังคมสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความ
เชื่อ และค่านิยม การเจาะหู เจาะจมูก การสัก การใช้ของแข็งหรือของมีคมกรีดร่างกายให้เป็นริ้วรอย
แผลเป็น หรือการรัดเท้าให้มีขนาดเล็กนั้นนอกจากการให้ความหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กล่าว
มาแล้ว ล้วนมีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามอยู่ด้วยเสมอเช่นเดียวกัน
! สิ่งที่น่าสนใจสังเกตคือ ความงามในสังคมต่าง ๆ นั้น มีความแตกต่างกันไป อาจมีความ
ละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง แต่มักแตกต่างในรายละเอียด ในทวีฟอาฟริกากลุ่มชนหลายกลุ่มวัดความ
สำเร็จของการอยู่รอดและความเข้มแข็งจากจำนวนสมาชิกของกลุ่ม ความงามของผู้หญิงจึงเชื่อมโยง
อยู่กับความสามารถในการให้กำเนิดสมาชิก ผู้หญิงจะงามหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับว่าเธอมีเรือนร่างเหมาะ
สมสำหรับการให้กำเนิดและการเลี้ยงดูบุตรจำนวนมากได้หรือไม่ ร่างกายที่ทำอย่างนั้นได้ต้องมีหน้า
อกใหญ่ซึ่งการันตีได้ว่าเธอสามารถผลิตน้ำนมได้มากพอ สะโพกต้องผายและก้นต้องใหญ่ดุจเดียวกัน
ซึ่งการันตีได้ว่าเธอสามารถคลอดบุตรได้ง่าย และสามารถผลิตสมาชิกได้มากในช่วงชีวิตของเธอ นั่น
ละคือผู้หญิงงาม
! ผู้หญิงชนเผ่าเซอร์มาในเอธิโอเปีย ใช้แผ่นประดับปากทำด้วยดินเผา ยิ่งแผ่นใหญ่มากเท่า
ไหร่พ่อแม่ผู้หญิงก็สามารถเรียกค่าสินสอดได้มากขึ้นเท่านั้น1 นั่นละคือผู้หญิงงาม
เมื่อพิจารณาจากปรากฎการณ์เหล่านี้ ความงามจึงไม่มีลักษณะของความเป็นสากล ยังไม่มี
ใครบังอาจผูกขาดคำนิยามลักษณะของความงามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ความจริงที่เกิดขึ้นจริง ๆ คือความงามนั้นมีลักษณะที่ไม่คงเส้นคงวา เพราะมนุษย์ทุกคนไม่
ได้เกิดมามีหน้าตาหรือร่างกายเหมือนกัน การนิยามความงามให้มีความหลากหลายครอบคลุมคนทุก
กลุ่มจึงเกิดขึ้น ด้วยการนำความงามไปเชื่อมโยงกับมิติอื่น ๆ ทั้งมิติด้านสุขภาพ สุนทรีย ภาพลักษณ์
หรือรสนิยม และปลุกกระแสให้ทุกคนเชื่อว่ามีโอกาสเข้าใกล้ความงามในลักษณะอื่นๆซึ่งหน้าตาไม่
สามารถเข้าถึงได้ และส่วนใหญ่ก็มักมีผลิตภัณฑ์ซุ่มรอไว้แล้วเช่นกัน ดังนั้นความงามจากที่เหมือนมี
ความหลากหลายตามแต่บุคลิกปัจเจก จริง ๆ แล้วก็กลับกลายเป็นความงามที่มีเป้าหมายไปใน
ทิศทางเดียว
! ความงาม ความสวยที่มีความหลากหลาย เริ่มเคลื่อนย้ายเข้าสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ
ความงามตามแบบอย่างการนิยามของกลุ่มอุตสาหกรรมความงามต่าง ๆ โดยมีกระบวนการผลิตซ้ำ
ความงามและวิธีการเข้าถึงความงามที่พึงปราถนาออกมาสู่สาธารณะเพื่อให้มวลชนได้มีโอกาส
จัดการตนเอง พร้อมกับสร้างให้เชื่อว่าเขาเหล่านั้นมีอำนาจการตัดสินใจโดยปราศจากการครอบงำ
และนี่คือกระบวนที่ทำให้ปัจเจกรับอุดมการณ์บังคับจากภายนอก เข้ามาจัดการจากภายในตนเอง
ด้วยตนเอง โดยไม่รู้สึกถึงอำนาจครอบงำนั้น ๆ
! กลไกการจัดการความสัมพันธ์และการใช้อำนาจระหว่างกันของกลุ่มคน ถ้าย้อนมองดูจาก
อดีตจะเห็นว่ามีการคลี่คลายจากการใช้กำลังบังคับ มาเป็นการให้คนในสังคมบังคับกันเองโดยใช้สื่อ
เป็นเครื่องมือสำคัญของกลุ่มทุนทะลุทะลวงเข้าไปจัดระบบคิดของปัจเจกให้เห็นคล้อยตามด้วย
ตนเอง ซึ่งเป็นการบังคับจากภายใน อำนาจของมันจึงถูกสร้างขึ้นมาโดยมีค่านิยมของคนในสังคม
เป็นสิ่งค้ำจุนความถูกต้องของมัน เมื่อพิจารณาจากมุมนี้แล้วจึงเท่ากับว่าเรากำลังหยิบยื่นอำนาจให้
กับทุนและสร้างความชอบธรรมในการปล่อยให้มันเข้ามาจัดการกับร่างกายเราให้งามในลักษณะ
สมยอมทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว คล้ายกับหลักการของศาสนาที่ใช้คำสอนเป็นหลักการให้มนุษย์
ดำเนินชีวิต จากนั้นมนุษย์จึงสมาทานเข้าไปควบคุมตนเอง ใครใช้สิ่งเหล่านี้ควบคุมตนเองได้มากกว่า
ก็จะกลายเป็นมนุษย์ผู้มีศีลธรรมที่สังคมต้องการมากกว่า และทุกคนก็แข่งขันกันเป็น ผิดกันตรงที่
ว่าการแข่งขันกันปฏิบัติตามคำสอนของศาสนามีนัยของการ “แอบล้วงกระเป๋า” น้อยกว่ากลุ่มทุน
และลัทธิบริโภคนิยมซึ่งทำได้ทุกอย่าง
เมื่อความงามคือค่านิยมของสังคม มันจะถูกผลิตซ้ำเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอุดมการณ์ของ
สังคมที่ทุกคนสามารถสร้างจินตนาการร่วมกันได้ เมื่อเอ่ยถึงความงาม เราก็จะเข้าใจตรงกันว่าคือ
แบบใด ความงามจึงเป็นสิ่งสร้างทางสังคม นั่นคือความเห็นพ้องต้องกันในระดับหนึ่ง แต่ในระดับ
ปัจเจกความงามมีเงื่อนไขที่เลื่อนไหลไม่ตายตัว และเป็นเหตุผลสำหรับคำอธิบายว่าทำไมเราจึงเลือก
คนที่แต่งงานแตกต่างไปจากจินตนาการหรืออุดมคติเรื่องความงาม
ผู้หญิงสวยหรืองามทางสังคมจึงมีคุณค่าเป็นสาธารณะมากกว่าคุณค่าปัจเจก คุณค่า
สาธารณะเป็นคุณค่าที่ยึดโยงกับบุคคลอื่น ความงามจึงถูกจับจ้องสอดส่องจากคนอื่นมากขึ้นเช่น
เดียวกัน และการถูกจับจ้องความงามอีกนัยหนึ่งคือการจับผิด คนที่สวยหรืองามจึงต้องจัดการ
ร่างกายตนเองให้งามอยู่ตลอดเวลา ! ความงามแบบนี้จึงเป็นความงามที่ทำให้เจ้าของร่างต้อง
เหน็ดเหนื่อย และต้องอดทนด้วยความวิริยะอุตสาหะในการจัดการเรือนร่างให้มีความงามตามความ
ต้องการของคนอื่น และไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์แบบ ต้องดูแลเอาใจใส่ ปรนนิบัติและบำรุงอย่างเต็มที่
ร่างกายจึงเป็นสิ่งที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า the body project2
! เมื่อความงามเป็นสาธารณะ คำถามก็คือ ใครคือตัวแทนของสาธารณะผู้มีอำนาจในการ
กำหนดความงาม ไม่งาม
! คำถามนี้คงไม่ยากนักสำหรับการหาคำตอบ เพราะหากเราย้อนกลับมามองให้ดีแล้ว ก็จะพบ
ว่าเราเองก็เป็นคำตอบส่วนหนึ่งของคำถามนี้เหมือนกัน
! เมื่อการณ์กลับเป็นเช่นนี้แล้ว ผมจึงคิดว่าเราควรเลิกกระทำความรุนแรงต่อเพศตรงข้าม
ด้วยการเพิกถอนความเห็นพ้องกับความงามตามแบบที่กลุ่มอุตสาหกรรมความงามสร้างขึ้น เราจะ
ได้ไม่ต้องวิ่งไล่ล่าความงามกันจนเกินความจำเป็น และแอบเปิดกระเป๋าให้เขาล้วงไปเรื่อย ๆ ด้วย
ความเต็มใจ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ยังจำภาษิตบทหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์ทางสังคมที่
หยั่งรากไว้ในสังคมไทยได้ดี ภาษิตบทนั้นบอกเล่าไว้ว่า “คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า” แต่ที่จำได้
แน่นหนากว่าก็คือ “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”
หรือความงามจะไม่เคยปราศจากการครอบงำ “ครอบงำทั้งจิตใจ และร่างกาย”
####################################################################################
1 อ่านเพิ่มเติมได้จาก “เผยร่าง-พรางกาย การทดลองมองร่างกายในศาสนา ปรัชญาการเมือง ประวัติศาสตร์ ศิลปะ
และมานุษยวิทยา” กรุงเทพฯ: คบไฟ. 2541 น.11
2 เรื่องเดียวกัน อ้างแล้ว น.3
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)