Skip to main content
sharethis

 

หมายเหตุ ชื่อบทความเดิม เจตนารมณ์การผลักดันองค์กรอิสระ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยสภาพแวดล้อมในการทำงาน

 

 

หากมองย้อนไปในอดีต 17 ปีที่ผ่านมา มีการเกิดโศกนาฏกรรม ซ้ำซากที่ทำให้เกิดการสูญเสียสุขภาพร่างกาย จิตใจ คนงาน แล้วยังนำมาสู่การเกิดความหายนะมาสู่ครอบครัว ซ้ำร้ายยังเกิดการกล่าวขาน ไปในทางไม่ดีไปทั่วโลก กับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่สะเทือนขวัญของแรงงานไทยได้แก่ * ชุมชนคลองเตยถูกผลกระทบจากสารเคมีระเบิดที่คลองเตย (2 มี.ค.34) มีผู้เสียชีวิต 4 คน บ้านเรือน 642 หลังคาเรือนเสียหายในกองเพลิง*โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้ตึกถล่ม จังหวัดนครปฐม จนทำให้คนงานวัยหนุ่มสาว ต้องตายถึง 188 ศพและบาดเจ็บถึง 469 ราย (ในวันที่ 10 พ.ค. 36)*โรงงานรอยัลพลาซ่าถล่ม (วันที่ 13 ส.ค.36 ) มีคนงานข้าราชการ นักท่องเที่ยวตายรวม 167 รายบาดเจ็บกว่า 200 ราย กรณีไฟไหม้โรงแรมรอยัลจอมเทียน (11 ก.ค.40) ทำให้คนงาน นักท่องเที่ยว และพนักงานไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ตายรวมจำนวน 91 รายบาดเจ็บกว่า 50 ราย โรงงานอบลำไยแห้งบริษัทหงษ์ไทยระเบิด (19 ก.ย. 2542) คนงานเสียชีวิต 36 คน บาดเจ็บ 2 ราย ชุมชนสันป่าตองบริเวณรอบโรงงานรัศมี 1 กิโลเมตร บ้านเรือน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล เสียหายกว่า 571 หลังคา เรือน และชาวบ้านบาดเจ็บ 160 ราย จะเห็นว่าผลกระทบเหล่านี้ยังขยายตัวออกมาสู่คนในชุมชน เช่น ชุมชนแม่เมาะ จ.ลำปาง

จากการประสบอันตรายและเจ็บป่วย รวมถึงการเสียชีวิตนั้นยังต้องมีขบวนการต่อสู้เรียกร้องสิทธิ ของญาติผู้อยู่ข้างหลังกว่าจะได้รับสิทธิทดแทนนั้นยากเย็นต้องใช้ระยะเวลานานแต่การสูญเสียบุคคลที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไม่มีอะไรมาชดใช้ได้ จนทำให้นักวิชาการ เอ็นจีโอด้านแรงงาน ผู้นำแรงงานได้เคลื่อนไหวช่วยเหลือผลักดันมาตลอดช่วงนี้เองที่สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ก่อเกิดขึ้น เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536 จากการรวมตัวกันของคนงาน “โรคปอดอักเสบจากฝุ่นฝ้ายเนื่องจากการทำงานในโรงงานทอผ้าปั่นด้าย” ที่เจ็บป่วยและปอดเสื่อมสมรรถภาพการทำงานของปอดอย่างถาวรการเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมายกองทุนเงินทดแทนนั้น ยากเย็นมาก เพราะถูกปฎิเสธ ทั้งจากนายจ้าง และยังถูกปฎิเสธ จากกองทุนเงินทดแทน ต้องมีการฟ้องร้องกันเป็นร้อยคดี คนป่วยรวมกันหลายพันคน บางรายถูกปลดออกจากงาน บางรายทำงานไม่ไหวก็ต้องลาออกเอง แต่หลายรายก็ถูกนายจ้างปลดออกจากงานทั้งๆ ที่ป่วย อย่างไร้ความปราณี ต้องต่อสู้คดีกับนายจ้างและสำนักงานกองทุนเงินทดแทน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน รวมการต่อสู้คดีนี้ 16 ปี แล้วก็ยังไม่มีคำพิพากษาฎีกาลงมา จากการต่อสู้ของกลุ่มผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากฝุ่นฝ้าย กลายมาเป็นผู้ป่วยจากการทำงานหลายๆ โรคจากหลายๆ โรงงานอุตสาหกรรม ในหลายพื้นที่และต้องเข้าเรียกร้องสิทธิ์ ผ่านสมัชชาคนจน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 และต่อมาในรัฐบาลหลายสมัย โดยการช่วยเหลือให้คำปรึกษาจากที่ปรึกษาที่เป็นทั้งนักวิชาการในมหาวิทยาลัย เอ็นจีโอด้านแรงงาน

และหลายฝ่ายเริ่มมีความคิดร่วมกันว่า การเรียกร้องสิทธิทำได้เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ปลายเหตุเท่านั้น ในขณะที่ตัวเลขสถิติทางกระทรวงแรงงานก็มีลูกจ้างบาดเจ็บประสบอันตรายจากการทำงานปีละไม่มากไม่น้อยไปจาก 200,000 ราย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการประสบอันตรายจากากรทำงาน ในส่วนโรคที่ได้รับสารเคมีหรือฝุ่นในโรงงาน หรือโรคสืบเนื่องจากการทำงานก็ยังเข้าสู่กองทุนเงินทดแทนยากลำบาก ต้องเจ็บป่วยเรื้อรังตกงานหมดอาชีพไม่มีเงินรักษาตัว ทำให้ชีวิตครอบครัวและอนาคตร่มสลายหาทางออกไม่ได้กลายเป็นคนที่จนที่สุดเพราะต้องสูญเสียสุขภาพ

การเรียกร้องทางนโยบายเริ่มเกิดขึ้นในปี 2537 โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยของคนงาน เช่น เรียกร้องให้มีการผลิตแพทย์ และหน่วยงาน ที่เชี่ยวชาญสาขา อาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระด้านความปลอดภัย สถาบันคุ้มครองสุขภาพคนงาน โดยผลักดันเป็นกฎหมาย ซึ่งท่านอาจารย์ธีรนาถ กาญจนอักษร ได้กรุณานำร่าง พรบ.มาเสนอให้หลายฝ่ายช่วยกันปรับปรุง แล้วสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ นำเรียกร้องในนามสมัชชาคนจน ยื่นข้อเสนอกับรัฐบาล สมัย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนได้มติ ครม. 26 มีนาคม 2540 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่าง ใช้ระยะเวลาร่วมร่าง 6 เดือน จนได้ร่าง พรบ.ฉบับสมบูรณ์ ร่างพรบ.สถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ พ.ศ. .... แต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ร่างพรบ.ดังกล่าวได้ถูกระงับไปเสียก่อนจะถูกเสนอเข้า คณะรัฐมนตรี (ครม.)

ต่อมา ปี พ.ศ.2544 เริ่มมีการจัดตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย จึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และผลักดันข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งสถาบัน ร่างพรบ.ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ..(.ฉบับบูรณาการ) ไปเป็นข้อเรียกร้องของขบวนการแรงงานมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล สมัยคุณลดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน ก็ออก พรบ.ฉบับใหม่ คือ ร่างพรบ.ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... (ฉบับกระทรวงแรงงาน) และยื่นเข้าสู่ ครม.ไปควบคู่กับ ร่างพรบ.สถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานกระกอบการ พ.ศ. ....เป็น 2 ฉบับ ในขณะนั้น และถูกตีกลับมายังกระทรวงแรงงานใหม่

ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 กระทรวงแรงงานแต่งตั้งคณะกรรมการ ร่วมพิจารณาร่าง พรบ. 2 ฉบับใหม่ เข้าด้วยกัน ในส่วนของสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ สมัชชาคนจน นักวิชาการ เอ็นจีโอ ผู้นำแรงงาน ก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ในการพิจารณารวมร่าง พรบ. 2 ฉบับ นี้ด้วย รวมกันแล้วใช้ชื่อ ร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... (ฉบับบูรณาการ) ซึ่งเป็นร่างที่ยอมรับได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยเนื้อหาสาระสำคัญของร่าง พรบ.สถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยฯ ยังคงอยู่เหมือนเดิม เช่น มีการตั้งองค์กรอิสระที่เป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน มีคณะกรรมการบริหารงานแบบเบญจภาคี ปรับเป็น จัตุภาคี คือ นายจ้าง ลูกจ้าง รัฐ และภาคีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ (ภาคีผู้ถูกผลกระทบ) โดยทำงานครบวงจร เช่น รักษา ฟื้นฟู ทดแทน โอนสถาบันความปลอดภัยความ และกองทุนเงินทดแทน มาอยู่ในสถาบันเสริมความปลอดภัยฯ ภายใน 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1.คุ้มครองส่งเสริมป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ
2.จัดการทางการแพทย์และฟื้นฟูสมรรถภาพของลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจาการทำงาน เพื่อให้สามารถกลับเข้าทำงานประกอบอาชีพได้ตามความเหมาะสมหรือดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข
3.ดำเนินการเพื่อคุ้มครองแรงงานในส่วนที่เกี่ยวกับเงินกองทุนเงินทดแทนให้เป็นไปอย่างมีหลักประกันสุขภาพและประสิทธิภาพ และมีอำนาจหน้าที่ดังนี้

1.สำรวจ ศึกษาวิเคราะห์วิจัย และพัฒนา เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการวางเป้าหมาย นโยบาย และจัดทำแผนงานโครงการและมาตรฐานต่างๆ
2.พัฒนาจัดทำมาตรฐานด้านสุขภาพและยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพความปลอดภัย
3.ส่งเสริมให้สถานประกอบการได้มีการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานด้านสุขภาพ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ
4.กำกับดูแล และตรวจสอบสถานประกอบการให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ
5.เป็นศูนย์ข้อมูลและฝึกอบรมด้านสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ
6.ส่งเสริมและประสานบริการคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ

**พอร่างแล้วเสร็จก็มีอันเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง**
ต่อมา ปี 2547 กระทรวงแรงงาน ก็ได้นำร่าง พรบ.ฉบับใหม่ ขึ้นมา ชื่อว่า ร่างพรบ.ความปลอดภัยอาชีว อนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... ยื่นเข้าสู่ ครม. โดยเสนอตีคู่ไปกับ ร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... (ฉบับบูรณาการ) โดย ครม.จึงมีมติรับหลักการให้รวมร่าง พรบ .ทั้ง 2 ฉบับ เข้าด้วยกันอีกเป็นครั้งที่สอง โดยส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณา ในการรวมร่าง 2 ฉบับ ผลออกมา กลายเป็น ร่างพรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ให้มีการจัดตั้งกองทุนความปลอดภัยในการทำงาน โดยเอาเบี้ยดอกผลของกองทุนเงินทดแทนมาเป็นกองทุนเพื่อให้นายจ้างกู้ไปจัดซื้ออุปกรณ์และการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน และสนับสนุนงานวิชาการและการรณรงค์ ซึ่งการบริหารจัดการโดย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่วน การจัดตั้งองค์กรอิสระ ตามร่างพรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีว อนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .ให้ไปอยู่ใน มาตรา 52 ของ ร่างพรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... โดยมีเพียง 3 บรรทัด “ว่าหากมีความพร้อมเมื่อใดให้จัดตั้งองค์กรอิสระ โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และเป็น องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ทางวิชาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

(ซึ่งมีข้อสังเกตคือทำไมกระทรวงแรงงาน ถึง ไม่ยอมรับร่างฉบับบูรณาการที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะกระทรวงแรงงานก็มีส่วนร่วม และทำไมต้องนำ ร่าง พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ..ขึ้นมาใหม่ เพื่อยื่นประกบโดยอ้างว่าเป็นร่างกฎหมายแม่บทในเรื่องของความปลอดภัยในการทำงาน) โดยแท้จริงแล้วร่างพรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... (ฉบับกระทรวงแรงงาน) จะอ้างเป็นกฎหมายแม่บทของความปลอดภัยในการทำงานไม่ได้ เพราะเป็นร่างกฎหมายที่อุ้มนายทุน อุ้มนายจ้าง และในสาระสำคัญของหลายๆ มาตรา (ก็มีการเขียนล้อกับอำนาจหน้าที่ของร่างพรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ...ไปบรรจุไว้ในพรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ..ในขณะที่ร่างกฎหมาย พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ...ของกระทรวงแรงงานนั้น เน้นการบริหารโดยราชการที่ไปเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐ โดยการสร้างองค์กรใหม่ในหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นคนทำงานก็เป็นคนเดิมๆ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบคนเดิมๆ มีจำนวนเท่าเดิม ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับแรงงาน อีกทั้งมีการจัดตั้งกองทุนสุขภาพ ที่ให้นายจ้างหรือองค์กรเอกชนกู้ยืมเงินในการปรับปรุงโครงสร้าง วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร ในด้านความปลอดภัยของโรงงาน ซึ่งจุดนี้เองการจะลงทุนเรื่องความปลอดภัยในการทำงานนั้น เป็นหน้าที่ของนายจ้างหรือผู้ลงทุนในการประกอบกิจการในแต่ละประเภทอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ไม่ใช่ให้รัฐหรือกระทรวงแรงงานมาออกกฎหมายมาให้นายจ้างกู้เงินไปลงทุนด้านความปลอดภัยในสถานประกอบการ แต่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับแรงงานที่เป็นผู้ถูกผลกระทบโดยตรง ซึ่งมองว่าเป็นการแสวงหาผลกำไรมากกว่า และกระทรวงแรงงานยังอาศัยชื่อ พรบ. ที่มีความปลอดภัยที่คล้ายคลึงกัน ยกตัวอย่างกฎหมายฉบับนี้ที่เรียกกันสั้นๆ ว่ากฎหมายความปลอดภัย

แต่เมื่อมาดูในส่วนเนื้อหาสาระจะพบว่าร่างกฎหมายฉบับของแรงงาน มีความแตกต่างจากฉบับของกระทรวงแรงงานอย่างมาก ดังนั้นเรื่องนี้ต้องอาศัยการติดตามอย่างใกล้ชิด ในส่วนของกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้มีการผลักดันร่างกฎหมาย พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... (ฉบับบูรณาการ) ที่มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ มาทำหน้าที่ป้องกันและแก้ไขปัญหา เน้นการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม

ซึ่งต่อมาสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน ฯ สมัชชาคนจน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยนักวิชาการ เอ็นจีโอ ผู้นำแรงงาน กลุ่มคนงานที่เจ็บป่วยและประสบอันตรายจากการทำงาน ได้ร่วมกันคัดค้าน ร่างกฎหมาย พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ของกระทรวงแรงงาน จึงได้ตัด มาตรา 52 ออก

ทั้งนี้สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ เครือข่ายผู้ใช้แรงงาน ก็ยังเสนอต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อคัดค้าน ร่างพรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... ไว้ เพราะเห็นว่าการออกกฎหมาย พรบ.ความปลอดภัยมา ก็มิได้เป็นการปฎิรูประบบสุขภาพความปลอดภัยแต่อย่างใด เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตเรื่องสุขภาพความปลอดภัยในขณะนี้ได้ เพราะขาดการมีส่วนร่วม เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ก็เป็นคนเดิม จำนวนเท่าเดิม ในหน่วยงานเดิมๆ ซึ่งน่าจะเป็นกฎหมายที่ล้าหลังกว่า พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ และขาดประสิทธิภาพในการทำงาน

ผู้ใช้แรงงาน จึงใช้วิธีการเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 163 เพื่อเสนอกฎหมาย (โดยพรบ.ฉบับนี้เคยมีการเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อมาแล้วครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2541 แต่ช่วงนั้นการเข้าชื่อยังไม่มีกฎหมายลูกการเข้าชื่อจึงไม่เป็นผล) แต่ในขณะนั้นการเข้าชื่อยังไม่ครบ 10,000 รายชื่อได้เพียง 9730 รายชื่อเท่านั้นเนื่องจากมีปัญหาอุปสรรคมากมาย ทั้งงบประมาณ คนที่จะมาทำงาน และเวลา

ในวันที่ 8 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย สมัชชาคนจน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ผู้นำแรงงานเครือข่ายสุขภาพในพื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น พื้นที่อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ พระประแดง บางพลี สมุทรปราการ อยุธยา อ่างทอง รังสิต-ปทุมธานี และกลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ภาคตะวันออก ได้ชุมนุมในวันนี้เพื่อประท้วงพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ทำตามสัญญาทั้งที่ได้เป็นรัฐบาล อีกทั้งยังได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งในสมัยเป็นพรรคฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลเงา จะมีมติรับหลักการ ยึดถือ ร่างพรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... เป็นร่างของพรรค แต่พอได้เป็นรัฐบาลตัวจริงกลับผ่านร่างพรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... (ฉบับกระทรวงแรงงาน) ไปยัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) และกำลังจะผ่านเข้าไปในวาระ 1 การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร อันใกล้จะถึงนี้ ทั้งนี้ในการชุมนุม ณ หน้าที่ทำการของพรรคประชาธิปัตย์ ประมาณเวลา 14.00 น. ซึ่งมีนายชุมพล กาญจนะ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ส.ส.กทม. ได้เข้าพบและรับหนังสือคัดค้าน ร่างพรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... (ฉบับกระทรวงแรงงาน) พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีให้เร็วที่สุด โดยนายชุมพล กาญจนะ กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีใครเดือดร้อนตนจะเป็นผู้รับเรื่องไว้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาและสั่งการ และจะติดต่อกลับไปตามที่อยู่ที่มีการระบุ ไว้ในหนังสือที่ยื่นคำคัดค้านมานี้แต่ความเป็นจริงก็คือยังไม่มีอะไรคืบหน้า

ร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย ฯ มีความเป็นมาในการเดินทางกว่าจะได้เข้าสู่สภา ฯใช้ระยะเวลายาวนานถึง 15 ปี ต่อปลายปี 52 โดยการสนับสนุนจากแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และด้วยความร่วมมือในการทำงานขององค์กรภาคี สนับสนุน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วย ฯ สมัชชาคนจน เช่น เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ภาคตะวันออก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน เครือข่ายภาคประชาชน กทม. ได้รวมตัวกันและเคลื่อนไหวผลักดัน

จนกระทั่ง เมื่อ วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2552 การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญนิติบัญญัติ และได้รับการพิจารณาเห็นชอบรับหลักการวาระ 1 ในคราวเดียวกันจำนวน 7 ฉบับ 5 ฉบับ เป็นร่าง พรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน อีก 2 ฉบับ เป็นร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ได้มี ส.ส. รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.สถาพร มณีรัตน์พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอร่าง พรบ.ฉบับผู้ใช้แรงงาน

และ รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คุณสมบุญ สีคำดอกแค ได้เข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญฝ่ายผู้ใช้แรงงานโดยการเสนอของ ส.ส.รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท พรรคประชาธิปัตย์ และส่วนคุณมนัส โกศล ตัวแทนสภาองค์กรลูกจ้าง ก็ได้ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวด้วย คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ เริ่มมีการพิจารณาร่าง พรบ.ทั้ง 2 ฉบับ ตั้งแต่ 18 พฤศจิกายน 2552 โดยที่ประชุมให้พิจารณาร่าง พรบ. ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ..... ซึ่งเป็นร่างหลักของรัฐบาลไปก่อน แล้วค่อยนำ ร่าง พรบ. สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน มาพิจารณาภายหลัง เนื่องจาก ร่าง พรบ.ทั้ง 2 ฉบับ ที่รับหลักการมาจากสภาผู้แทนราษฎร มีความแตกต่างกันอย่างมาก ที่ประชุมกำหนดว่า จะเอา การจัดตั้งองค์กรอิสระ ร่าง พรบ. สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย ไปไว้ในหมวดใดหมวดหนึ่งของ ร่าง พรบ.ความปลอดภัย ฯ กรรมาธิการฝ่ายผู้ใช้แรงงานจึงได้ร่วมพิจารณากฎหมาย พรบ.ความปลอดภัยฯไปด้วยและได้มีการเสนอขอแก้ไขบางมตราที่ผู้ใช้แรงงานเสียเปรียบไปได้หลายข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็ผ่านไปด้วยความยากเย็นจนเสร็จ และผลการพิจารณาเริ่มนำร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมฯ มาพิจารณาเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ 6 -7 -11 พฤษภาคม 2553 โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ มีมติร่วมกันให้บรรจุ ร่าง พรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งเป็นการตั้งองค์กรอิสระ ไว้ใน พรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ดังนี้

1. เพิ่มมาตรา 4
“สถาบัน”หมายความว่า สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
“คณะกรรมการบริหารสถาบัน” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

2. เพิ่มในหมวด 6/1 ดังนี้
หมวด 6/1
สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

มาตราที่ 51/1 ให้มี สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นองค์กรมหาชนที่ตังขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในกฎหมายว่าด้วยองค์กรมหาชน เพื่อทำหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(2) พัฒนาสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(3) ส่งเสริมสนับสนุนและร่วมดำเนินงานด้าน กับหน่วยงานด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ของภาครัฐและเอกชน
(4) จัดให้มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรและด้านวิชาการ
(5) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน

มาตรา 51/2 สถาบันมีรายได้
(1) เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนเดิม
(2) เงินที่ได้รับจากการจัดสรรจากกองทุนความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(3) เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรอื่นรวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ
(4) ค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทนและค่าบริการต่างๆ ที่เกิดจากการดำเนินงานของสถาบัน
(5) รายได้หรือผลประโยชน์อื่น

มาตรา 51/3 ให้มีคณะกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ ผู้แทนกรมควบคุมโรค ผู้แทนกรมโรงงาน อุตสาหกรรม กับผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละสองคน และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความเชียวชาญ มีผลงาน หรือประสบการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน และต้องไม่ใช่ข้าราชการ หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ จำนวนหนึ่งคน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ

ให้ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ

ให้คณะกรรมการบริหารมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษา และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการบริหารมอบหมายได้

การได้มาและการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และ ฝ่ายลูกจ้างและผู้ทรงคุณวุฒิ ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยให้คำนึงทั้งให้มีหญิงและชาย

ผลการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 23 ปี ที่ 3 ครั้งที่ 11 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันที่ 1 กันยายน 2553 ณ ตึกรัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาร่าง พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... ที่คณะกรรมการวิสามัญฯ ได้พิจารณาปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 1 กันยายน 2553  ไม่เห็นด้วยกับการตั้งองค์กรอิสระที่ตั้งเป็นองค์กรมหาชน ประธานกรรมาธิการวิสามัญ คุณนคร มาฉิม ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญ จึงได้ขอถอนร่าง พรบ. ความปลอดภัยฯออกมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขใหม่

จากนั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้ประชุมกันในวันที่ 7 ,10 ,14 กันยายน 2553 ผลสรุปของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ยืนยันให้เสนอร่าง พรบ.ความปลอดภัยที่บรรจุการจัดตั้งองค์กรอิสระที่จัดตั้งองค์กรมหาชนเข้าไปใหม่  โดยท่านประธานกรรมาธิการขอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญเข้าไปชี้แจงให้เหตุผลในสภาทุกคนพร้อมทั้งเสนอ กพร. (การบรรจุการจัดตั้งองค์กรอิสระเข้าไปใหม่จึงมีแค่วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่เท่านั้น)เพื่อป้องกันการซักถามและการตอบคำถาม    ผลการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 23 ปี ที่ 3 ครั้งที่ 12 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันที่ 22 กันยายน 2553 เวลา 14.00 -15.00 น. ณ ตึกรัฐสภานั้น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาร่าง พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ... ที่คณะกรรมการวิสามัญฯ ได้พิจารณาปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 14 กันยายน 2553

ทั้งนี้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาอภิปรายคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งองค์กรอิสระในรูปแบบองค์กรมหาชน เช่น ครั้งเมื่อ วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายทางท่านประธานกรรมาธิการวิสามัญ สส.นคร มาฉิม ก็ได้หารือกับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขอตัดการจัดตั้งองค์กรอิสระในรูปแบบองค์กรมหาชน ออก สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ในวาระ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ด้วยคะแนนเสียง 279 ต่อ 12 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 14 โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น และกิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จัดให้มีมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้หน่วยงานของตนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานดังกล่าว ตาม พรบ.ฉบับนี้รวมทั้ง
หมวด 6/1 ให้มีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่เป็นองค์กรอิสระภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน (ไม่เป็นองค์การมหาชน ตามที่ระบุไว้) ทั้งนี้ให้กระทรวงแรงงานต้องจัดตั้งสถาบันฯ ให้เสร็จภายใน 1 ปี ส่วนหน้าที่สถาบันฯ คงเดิมตามที่ระบุไว้ในรายงาน ดังนี้
“มาตรา 51/1 ให้มีสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นองค์องค์กรอิสระภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(2) พัฒนาและสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(3) ดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมดำเนินงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของภาครัฐและเอกชน
(4) จัดให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรและด้านวิชาการ

แต่ทั้งนี้ การผลักดันให้เกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน แม้จะผ่านสภาในวาระ 2 -3 แล้วนั้น แต่ก็ยังไว้วางใจอะไรไม่ได้ในขณะนี้ เพราะก็ยังห่วงว่า ต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาเสียก่อน ซึ่งจะทำอย่างไรให้ที่ประชุมวุฒิสภาเข้าใจความต้องการของผู้ใช้แรงงาน ที่ต้องการให้มีการจัดตั้งสถาบันฯเป็นองค์กรอิสระ อยู่ในหมวดที่ 6/1 มาตรา 51/1 มีมติรับรอง แล้วจึงนำกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรรับรองใหม่อีกครั้ง ให้ทันในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนี้ ที่จะมีการปิดสภาฯในเดือนพฤศจิกายน 2553

หลังจากนั้นจะทำอย่างไร ที่ผู้เสนอร่างจะได้เข้าไปมี ส่วนร่วมร่าง “องค์กรอิสระสถาบันฯส่งเสริมความปลอดภัยฯ” ได้อย่างไร เพื่อการมีองค์ประกอบของสถาบันฯ ที่ยังต้องมีหน้าตาที่สมบูรณ์ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ แบบมีส่วนร่วมจริงๆของทุกภาคี ไม่ว่าจะเป็นภาคี ภาครัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง ภาคีผู้ถูกผลกระทบจากการทำงาน และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการทำหน้าที่ส่งเสริมป้องกันแก้ไขปัญหา แบบที่ผู้ใช้แรงงานและผู้เสนอร่างต้องการ เช่น ใครเป็นประธาน ผู้อำนวยการ กรรมการมาจากไหน และ อำนาจหน้าที่ของสถาบัน กิจกรรม การบรรจุ ว่ากองทุนงบประมาณ และคน จะเอามาจากไหน สถาบันอิสระนี้ ทั้งนี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องติดตามผลักดันการจัดตั้งองค์กรอิสระที่จะมาส่งเสริมด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้เป็นจริงได้อย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของผู้ใช้แรงงานต่อไป.
  --------------------------------------------

มีข้อสังเกต: วัตถุประสงค์ในข้อที่
มีการจัดการทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาวินิจฉัยโรค พิจารณาการจ่ายเงินทดแทนและการฟื้นฟูสมรรถภาพของลูกจ้างที่เจ็บป่วยและประสบอันตรายจากการทำงานเพื่อสามารถกลับเข้าทำงานประกอบอาชีพได้อย่างปกติสุข

ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญตั้งแต่ดั้งเดิม ข้อนี้ได้ถูกตัดออกไปเนื่องจาก ทางท่านอาจารย์วรวิทย์ เจริญเลิศ ได้เชิญองค์กร ANROAV ประชุมระหว่างสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553มีข้อเสนอแนะจาก ANROAV ดังนี้ (ANROAV) คือองค์กรเครือข่ายผู้ประสบภัยจากการทำงานในทวีปเอเซีย
สถาบันฯ ควรจะเน้นบทบาทงานวิจัยกับการให้ความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องสิทธิความปลอดภัยฯ (Research + Education) ข้ออ่อนที่พบในปัจจุบันของงานวิจัยมิได้เป็นงานวิจัยเชิงลึก ที่ศึกษาปัจจัยเชิงโครงสร้าง อำนาจ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดต่อผู้ประสบเคราะห์ ทำให้งานวิจัยที่ผลิตออกมาไม่สามารถนำมาช่วยเหลือคนงานได้ และงบประมาณในการทำงานวิจัยกับการศึกษาคนงานต้องมาจากกองทุนเงินทดแทน

การที่สถาบันฯของกลุ่มเรา เข้าไปทำหน้าที่เองทุกเรื่อง เช่น การดูแลตรวจสอบสถานประกอบการ เป็นความเสี่ยง ในลักษณะนี้จะเกิดความขัดแย้งสูงที่รัฐหรือนายจ้างจะยินยอม หรือกรณีเจอผู้ประสบเคราะห์ถูกละเมิดสิทธิ์ ในระยะยาวอาจเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายนายจ้างหรือรัฐโต้ตอบได้ ซึ่งหน้าที่นี้ควรจะเป็นของรัฐดีที่สุด และสถาบันฯควรเข้าไปติดตามการทำงานของรัฐโดยต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบที่เป็นประชาธิปไตย

การที่สถาบันฯพยายามให้มีคณะทำงานที่มาจาก 5 ภาคี ถือว่าดีที่สุดเพราะเป็นการเข้ามามีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย แต่ถ้าสถาบันฯลดเหลือเพียง 4 ภาคี ควรจะให้ผู้ประสบเคราะห์ กับคนงานอยู่ด้วยกัน ไม่ควรนำไปรวมกับกลุ่มนักวิชาการหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเกิดกรณีที่จะเวลาเลือกภาคีผู้ถูกผลกระทบอาจสู้นักวิชาการไม่ได้

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net