Skip to main content
sharethis

ชาวบ้านบ้านป่าทุ่งเชือดแพะทำอาหารฉลอง หลังศาลจังหวัดปัตตานียกฟ้อง 32 จำเลยก่อการร้าย จากคดีฆ่าครูสายบุรี ส่วนอีก 2 คน ศาลพิพากษาไม่ยกฟ้อง ชาวบ้านยันไม่ฟ้องกลับ แต่ยังรอลุ้นอัยการยื่นอุทธรณ์ ด้าน ผู้ใหญ่บ้านเผยการที่ชาวบ้านตกเป็นจำเลยจำนวนมาก ทำให้ถูกมองเป็นหมู่บ้านโจร ส่วนทหารในพื้นที่เตรียมจัดพบปะเยียวยาชาวบ้าน 

 

ยกฟ้อง - ชุมชนบ้านป่าทุ่ง หมู่ที่ 4 ต.บางเก่า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี กลุ่มนี้รวม 34 คน ยิ้มได้แล้ว หลังจากศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษายกฟ้องในคดีความมั่นคง บางคนถึงกับเชือดแพะฉลอง แต่ก็ต้องลุ้นอีกครั้งหากอัยการจังหวัดปัตตานียื่นอุทธรณ์ก่อนจะครบกำหนด 30 วัน หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
 
 
ที่หมู่บ้านป่าทุ่ง หรือบ้านนะปาแดในภาษายาวี หมู่ที่ 4 ตำบลบางเก่า อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชาวบ้านหลายคนกำลังกุลีกุจออยู่กับการเชือดแพะทำอาหารเลี้ยงคนในหมู่บ้าน วันนี้บ้านนี้ พรุ่งนี้บ้านโน้น เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน พวกเขาต่างก็บนบานไว้ว่า ถ้าถูกยกฟ้องจะเชือดแพะ
 
เมื่อคำพิพากษายกฟ้องสมใจ พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบจัดการเรื่องนี้ทันที แม้คดียังอยู่ระหว่างรออุทธรณ์ภายใน 30 วันหลังจากศาลจังหวัดปัตตานีอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2553 
 
หากอัยการจังหวัดปัตตานีไม่อุทธรณ์คดีนี้ก็จะสิ้นสุดลง จำเลยทั้ง 34 คน ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ ก็จะพ้นผิดได้กลับไปประกอบสัมมาชีพอย่างปกติต่อไป ยกเว้น 2 คน ที่ศาลพิพากษาไม่ยกฟ้อง ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นจำเลยที่ 1 และ 2ตามลำดับ
 
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านถึง 34 คนในหมู่บ้านเดียวกันกลายเป็นจำเลยในคดีความมั่นคงนี้ มาจากเหตุการณ์คนร้ายกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปฆ่าครูโรงเรียนบ้านป่าทุ่ง ชื่อ นาวสาวกามารียา มะลี ถึงในบ้านเลขที่ 208/2 หมู่ที่ 4 บ้านป่าทุ่ง ในช่วงคำวันที่ 23 กันยายน 2550 ในขณะที่ครูกามารียากำลังรับประทานอาหารละศีลอดในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม พร้อมกับคนในครอบครัวที่มีทั้งแม่ น้องสาว น้องชาย ทำให้ครูกามารียาเสียชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ปลอดภัย
 
เหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่พ่อของครูกามารียา กำลังปีนต้นมะพร้าวสูงพ้นหลังคาบ้าน เพื่อจะเก็บน้ำตาลมะพร้าวด้วยความอยากกิน จึงทำให้เห็นคนร้าย 7 คน แบ่งกำลังประจำตามจุดต่างๆ ส่วนหนึ่งบุกเข้าไปในบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด แล้วล่าถอยออกไป
 
หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าปิดล้อมและตรวจค้นในหมู่บ้าน ควบคุมตัวชาวบ้านไป 21 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย นำไปควบคุมตัวที่หน่วยเฉพาะกิจสายบุรี ก่อนจะคัดเหลือ 14 คน แล้วส่งต่อไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยทั้งหมดถูกควบคุมตัวประมาณ 7 วัน ยกเว้น 3 คน ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 วัน
 
ต่อมา ทั้ง 3 คนถูกดำเนินคดีในข้อหา เผาท่อส่งน้ำในโครงการอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน แต่ได้รับการประกันตัวออกมา
 
จนกระทั่งผ่านไป 4 เดือน วันที่ 17 มกราคม 2551 ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรสายบุรี ได้เข้าจับกุมนายเจะวานิ เจะแม็ง อายุ 57 ปี ชาวบ้านป่าทุ่ง และจับกุมนายยูรี เจ๊ะแว อายุ 19 ปี อีกคน ในวันที่ 25 มกราคม 2551 ทำให้ชาวบ้านเริ่มเอะใจ จึงมีการตรวจสอบกัน จนกระทั่งทราบว่ามีการออกหมายจับชาวบ้านประมาณ 40 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่น ผู้สูงอายุ โต๊ะอิหม่าม สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ภารโรง โดยหลายคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน
 
โดยเป็นคดีที่มีฐานความผิดหนักหนาสาหัสมาก คือ ร่วมกันสะสมกำลังพลและอาวุธเพื่อก่อการร้าย เป็นอั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตาย หน่วงเหนี่ยว กักขังหรือกระทำการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
 
ทำให้ชาวบ้านที่ถูกออกหมายจับต่างก็รู้สึกหวาดกลัว จึงพากันหลบหนีไปอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น นางสาอูดะ สาและ อายุ 50 ปี หนึ่งในจำเลย ที่หนีขึ้นไปอยู่กรุงเทพประมาณ 7 วัน จนกระทั่งกำนันตำบลบางเก่า ได้ประสานให้มีการมอบตัว พร้อมลูกชายอีก 2 คน
 
บางคนก็หลบไปอยู่ตามป่าท้ายหมู่บ้าน หรือเมื่อมีรถยนต์แปลกหน้าผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน ก็จะพากันหลบ เพราะเกรงว่าอาจเป็นรถยนต์ของเข้าหน้าที่ที่จะมาจับกุมชาวบ้าน
 
หลังจากมีการประสานงานกันแล้ว ชาวบ้านจึงทยอยกันออกไปมอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรสายบุรี เช่นเดียวกับลูกชาย 2 คน และลูกเขย 1 คน ของนายเจะวานิที่ถูกจับกุมคนแรก
 
นายเจะวานิ ซึ่งมีอาชีพปลูกผัก เลี้ยงวัวและเลื้อยไม้ กล่าวว่า ผมอยู่ในคุก 80 วัน จากนั้นได้ยื่นหลักทรัพย์มูลค่าสูงถึง 7 แสนบาทขอประกันตัวออกมา ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินทั้งของตนเองและขอเช่าโฉนดที่ดินของคนอื่นมาด้วย แต่เมื่อคดีนี้ขึ้นสู่ศาล ทุกคนก็ได้รับการลดค่าประกันตัวเหลือคนละ 2 แสนบาท
 
เช่นเดียวกับนายอาลี หะแวกาจิ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) ตำบลบางเก่า ตัวแทนบ้านป่าทุ่ง ปัจจุบันเปิดร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนในตลาดอำเภอสายบุรี ที่มีญาติพี่น้องหลายคนถูกออกหมายจับในคดีนี้เช่นกัน ที่สำคัญนายอาลี เป็นอาของครูกามารียา นายอาลีตกเป็นจำเลยพร้อมกับพี่ชายอีก 2 คน พี่สะใภ้ 1 คน และลูกพี่ชาย 1 คน
 
นายอาลี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ต้องขึ้นลงศาล ทำให้มีค่าใช้จ่ายคาดว่าคนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2553 ซึ่งต้องขึ้นศาลกันเกือบทุกวันตลอดสัปดาห์ ทำให้ไม่มีเวลาทำมาหากินหารายได้เลย ทุกครั้งที่เดินทางไปศาลจะเช่าเหมารถกระบะถึง 4 คัน ทั้ง 4 คันรถเป็นจำเลยตัวจริง ไม่ใช่ชาวบ้านที่ไปให้กำลังใจอย่างคดีอื่นๆ
 
“ส่วนจะฟ้องกลับหรือไม่นั้น คงไม่ฟ้องกลับแล้ว ชาวบ้านคงไม่เอาแล้ว หากต้องสู้กันอีกหลายปี แค่ 3 ปีที่ผ่านมานี้ชาวบ้านก็รู้สึกลำบากมาพอแล้ว อยากทำงานปกติอย่างคนทั่วไปมากกว่า ไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้ว” นายอาลี กล่าว
 
แม้ศาลจังหวัดปัตตานีจะพิพากษายกฟ้องชาวบ้านเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ในช่วงที่ผ่านผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นกับคนที่ตกเป็นจำเลยเท่านั้น เพราะคนทั้งหมู่บ้านต่างก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
 
นายอับดุลตอเละ สาแม ผู้ใหญ่บ้านป่าทุ่ง กล่าวว่า เมื่อชาวบ้านตกเป็นจำเลยจำนวนมากอย่างนี้ แน่นอนคนทั่วไปก็ย่อมต้องมองหมู่บ้านนี้ในทางที่ไม่ดี คิดว่าเป็นหมู่บ้านโจร การช่วยเหลือของทางราชการก็หลีกไปที่อื่นหมด แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มปกติ
 
ส่วนนายเจะวานิ กล่าวว่า “เวลาไปไหนมาไหนก็อายคน เพราะคนอื่นจะมองว่า เราเป็นหมู่บ้านโจร แต่ก็งงมากกว่า เพราะมันเป็นไปได้อย่างไรที่มีคนเป็นจำเลยถึง 34 คน ในคดีเดียวกัน”
 
พ.ต.ท.พิสิฐพงศ์ มังกรวงศ์ นายตำรวจสถานีตำรวจภูธรสายบุรี พนักงานสอบสวนในคดีนี้ กล่าวว่า เหตุที่ชาวบ้านตกเป็นจำเลยคดีนี้จำนวนมาก เพราะว่ามีข้อมูลทั้งจากชาวบ้านที่เป็นพยาน จากสายข่าวตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองชี้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง
 
พ.ต.ท.พิสิฐพงศ์ อ้างว่า หลังการมอบตัวของชาวบ้าน ปรากฏว่าสถานการณ์ในหมู่บ้านและใกล้เคียงสงบลงอย่างมาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มีหลายเหตุการณ์ ทั้งฆ่าเผาครู เผาท่อส่งน้ำโครงการอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ฆ่าตำรวจ และฆ่าผู้ใหญ่บ้านคนก่อน
 
สอดคล้องกับนายอับดุลตอเละ ที่บอกว่า หลังเหตุยิงครูการมารียา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า ในหมู่บ้านมีกลุ่มก่อความไม่สงบจริง แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น
 
“ฝ่ายผู้สูญเสีย คือครอบครัวครูกามารียาก็ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐแล้ว โดยน้องๆ ของครูกามารียา ต่างก็ได้เข้ารับราชการและได้รับเงินเดือนจากรัฐทั้งหมดแล้ว เช่น ได้รับการบรรจุเป็นครูและ อส.(อาสาสมัครรักษาดินแดน)” นายอับดุลตอเละ กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์โศกนาฏกรรมจะผ่านไปนานแล้ว แต่ที่บ้านเลขที่  208 /2 ของครูกามารียา ก็มีเพียงน้องสาวกับน้องชายและหลานเท่านั้น ส่วนพ่อแม่ของครูกามารียาได้ย้ายออกอยู่ที่อื่นแล้ว โดยที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังประสานเพื่อให้กลับมาอยู่บ้านตามเดิม
 
ร.ท.สุรชาติ รอดผล รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ 26 สายบุรี อดีตหัวหน้าฐานปฏิบัติการ นย. (นาวิกโยธิน) บ้านป่าทุ่ง กล่าวว่า แม้ชาวบ้านป่าทุ่งจำนวนมากถูกดำเนินคดี แต่ไม่มีผลกระทบต่องานด้านมวลชนสัมพันธ์ ชาวบ้านยังยิ้มแย้มให้ทหาร แสดงว่าชาวบ้านมีความเข้าใจและไม่กลัวทหารเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันตอนนี้ไม่พบความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามในหมู่บ้านด้วย
 
ร.ท.อภิเชษฐ นุ่นสวัสดิ์ หัวหน้าฐานปฏิบัติการ นย.บ้านป่าทุ่งคนปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง กล่าวว่า กำลังประสานกับชาวบ้านในกลุ่มนี้อยู่ว่าจะพบปะกัน เพื่อพูดคุยหารือและให้กำลังใจกัน หลังจากที่ศาลได้ยกฟ้องแล้ว ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเยียวในทางหนึ่ง โดยจะให้ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้เดินทางมาพบปะกับชาวบ้านด้วย
 
ทั้งนี้ การออกหมายจับชาวบ้านจำนวนมาก แม้ในชั้นศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องเกือบทั้งหมด แต่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการในพื้นที่ อย่าง ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DeepSouthWacth) 
 
ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า การจับกุมหรือควบคุมตัวชาวบ้านจำนวนมากมาดำเนิน แต่สุดท้ายถูกพิพากษายกฟ้อง สะท้อนให้เห็นปัญหาจากกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่ เนื่องจากมีผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงในเรือนจำจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลาส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการฝากขัง และมีจำนวนน้อยมากที่ถูกพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าผิดจริง 
 
“ต้องยอมรับว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่มีอยู่จริง แต่ก็มีเงือนไขมาจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม ดังนั้นความไม่ยุติธรรมก็ยังเป็นปัญหาใจกลางของความไม่สงบในพื้นที่ ดังนั้นต้องแก้ปัญหาที่กระบวนการยุติธรรมก่อน  แม้จะช้ากว่าจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำ” ดร.ศรีสมภพ กล่าว
 
ถึงวันนี้ ชาวบ้านกลุ่มนี้ก็คงได้แต่หวังว่า พวกเขาไม่ต้องบ่นเชือดแพะอีกครั้ง หากต้องลุ้นกับคำพิพากษาอุทธรณ์ที่อาจจะมีขึ้นได้อีกในอนาคต แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ขอเยียวยากันเองก่อนเพื่อความสุขใจ ด้วยการเชือดแพะขอบคุณอัลเลาะห์ (พระเจ้าของชาวมุสลิม) ที่ดลบันดาลให้พวกเขาได้รับการยกฟ้องในครั้งนี้
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net