ทำไมเราไม่ควรตื่นเต้นกับอิสรภาพของ “ออง ซาน ซุจี”

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

* ชื่อบทความเดิม: ทำไมเราไม่ควรตื่นเต้นกับอิสรภาพของ ออง ซาน ซุจี มองอิสรภาพของอองซานซุจีผ่านการเมืองพม่าสมัยใหม่

 

ณ กรุงย่างกุ้งเมืองหลวงเก่าของพม่า วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในวันที่น่าจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของพม่า อองซานซุจี (หรือที่คนพม่าเรียกด้วยความเคารพว่าดอซุหรือ “อานตี้”) ในชุดโลงจีสีม่วงอ่อนและดอกไม้ติดผมที่เราเห็นกันคุ้นตาเดินออกมาจากบ้านพักเพื่อต้อนรับกลุ่มผู้สนับสนุนนับพันคนที่รวมตัวกันตั้งแต่คืนวันศุกร์ ผู้คนต่างรอลุ้นให้เธอถูกปล่อยตัวและเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสุขและความหวัง แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ก็นับว่า “หายาก” เหลือเกินสำหรับประเทศอย่างพม่า แจ๊ค เดวีส์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์การ์เดียนประจำย่างกุ้งเขียนไว้ในวันที่เธอถูกปล่อยตัวว่า การปล่อยตัวอองซานซุจีนำความชื่นมื่น น้ำตาและความหวังใหม่กลับมาสู่พม่า” [1]

เป็นไปได้ว่าโลกตะวันตกกลับตื่นเต้นกับข่าวการปล่อยนางอองซานซุจีในครั้งนี้อาจมากกว่าคนพม่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับของอังกฤษเริ่มตีพิมพ์ข่าวการปล่อยตัวอองซานซุจี (คำสั่งการควบคุมตัวในบ้านพักหมดลงในวันที่ 13 พฤศจิกายน) มาตั้งแต่ราววันที่ 6 พฤศจิกายน เมื่อลูกชายคนเล็ก นายคิม อริส (Kim Aris) เดินทางมาจากอังกฤษเพื่อ ยื่นเรื่องขอวีซ่าเข้าพม่าจากสถานทูตพม่าที่กรุงเทพฯและได้รับการปฏิเสธ หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันปล่อยตัวหนังสือพิมพ์บางฉบับของอังกฤษยังตีพิมพ์บทความ บทบรรณาธิการ รูปของนางหรือบทความอีกหลายชิ้นที่มีเนื้อหาชวนให้ติดตาม ตัวอย่างหนึ่งคือหนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนท์ฉบับวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายนนำบทความชื่อ “วันตัดสิน อิสรภาพของอองซานซุจีอาจมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง” เป็นพาดหัวใหญ่ [2] และ  ถึงวันเสาร์ที่ 13 สถานีข่าวในอังกฤษทั้งบีบีซีและสกายนิวส์ต่างแข่งขันกันรายงานสด (live coverage) นาทีต่อนาทีจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศของตนในย่างกุ้ง ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดกระแสความตื่นเต้นในหมู่ผู้บริโภคสื่อสิ่งพิมพ์และข่าวทางโทรทัศน์ในอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อสองปีก่อนนายจอห์น ยิตตอสัญชาติอเมริกันลงทุนว่ายน้ำข้ามทะเลสาปอินยาระยะทางกว่า 2 กิโลเมตรไปหานางโดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยด้านจิตวิทยาของตน ในครั้งนั้นเป็นที่วิพากย์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของนายยิตตอ แต่ไม่ว่าการสืบสวนของทางการพม่าจะออกมาเป็นอย่างไร รัฐบาลออกคำสั่งขยายเวลาควบคุมนางอองซานซุจีในบ้านพักออกไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปีทั้ง ๆ คำสั่งเดิมกำลังจะหมดลงอีกไม่กี่วัน ข่าวความกล้าหาญบ้าบิ่นของนายยิตตอในคราวนั้นกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯ ที่คว่ำบาตรพม่ามานานปีถึงกับต้องส่งวุฒิสมาชิกฝีปากกล้าอย่างจิม เวบบ์เพื่อเจรจาเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนายยิตตอและอองซานซุจี แม้นายยิตตอจะถูกปล่อยตัวแต่อองซานซุจียังถูกคุมขังไว้ในบ้านพักและคำสั่งคุมตัวเธอถูกขยายไปอีกหนึ่งปี แต่แน่นอนว่าข่าวที่ถูกมองว่าแปลกประหลาดกรณีนายยิตตอในคราวนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่ากับการปล่อยตัวนางอองซานซุจีในครั้งนี้...

เหตุผลที่รัฐบาลพม่ายอมปล่อยตัวนางอองซานซุจีคราวนี้ไม่ปรากฎชัดและข่าวลือการปล่อยตัวนางที่ออกมาต่างมีที่มาจากสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น เอเอฟพี ก่อนหน้านี่รัฐบาลพม่าไม่เคยแถลงอย่างเป็นทางการว่าจะมีการปล่อยตัวนางแต่อย่างใด แต่ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วย่างกุ้งและเมืองอื่น ๆ ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะยอมปล่อยตัวนางหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การจัดการเลือกตั้งดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์ไปทั่วโลกว่าเป็นการเลือกตั้งจอมปลอมที่จะสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลทหารที่อ้างว่าพรรคยูเอสดีพี (Union Solidarity and Development Party) ของตนได้เสียงข้างมากและชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย

คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากกรณีการปล่อยตัวนางอองซานซุจีคือต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นในพม่า หลายคนอยากรู้ว่าประชาธิปไตยจะมีโอกาสเติบโตในพม่าหรือไม่ หรือแม้แต่รัฐบาลพม่าปล่อยตัวเธอออกมาเพื่ออะไร คำถามเหล่านี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ดีเท่ากับนายพลระดับสูงเพียงไม่กี่คนหรือนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรัฐบาลทหาร บทความนี้ไม่มีจุดประสงค์เพื่อทำนายอนาคตของพม่า แต่สิ่งที่อาจทำได้คือการบอกเล่าประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของพม่าที่เป็นเบ้าหลอมให้การเมืองพม่าหยุดอยู่กับที่มาหลายสิบปี และเป็นวงจรอุบาทว์ที่อุบาทว์กว่าวงจรการเมืองใด ๆ ในโลก (เว้นไว้แต่เกาหลีเหนือกับโซมาเลีย) เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและการปราบปรามผู้ที่มีแนวความคิดไม่ลงรอยกับฟากรัฐบาลอย่างรุนแรงนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าแบบซ้ำซาก จำเจจนคนพม่าส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่ไปเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา

อองซานซุจีกับการเมืองพม่านับจาก 1989
อริสโตเติลเคยกล่าวไว้ว่า “หากจะเข้าใจสิ่งใด จงสังเกตจุดเริ่มต้นและพัฒนาการ”

ในสังคมพม่าที่เป็นสังคมที่ให้เกียรติและเชิดชูเพศหญิงมากกว่าประเทศใด ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้หญิงพม่ามีสถานะพิเศษในสังคม จอห์น เฟอร์นิวัล (J.S. Furnivall, 1878-1960) ปราชญ์ชื่อดังด้านพม่าและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเคยสังเกตประเด็นนี้ไว้ว่า “อิสระภาพของผู้หญิงพม่าเป็นเรื่องน่าสนใจ” นักวิชาการทั้งในและนอกพม่าอีกหลายคนยังเห็นพ้องต้องกันว่าผู้หญิงพม่าโดยรวมยังเป็นที่เคารพและอาจเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของครอบครัวและมีอิสระในการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตในสังคมมากเท่า ๆ กับผู้หญิงตะวันตก [3]

ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่คนพม่าจำนวนมากจะเห็นว่าอองซานซุจีเป็นบุคคลพิเศษและมีความสามารถทัดเทียมเท่าผู้ชายในหลาย ๆ ด้าน เธอยังถูกมองว่าเป็นหญิงที่ใจแข็งดังหินผาผู้พร้อมยอมสละชีพเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอรัก มาในสมัยนี้เธอจะถูกมองว่าเป็นความหวังสุดท้ายและเป็นผู้เดียวที่มีดีกรีเพียงพอที่จะท้าทายบารมีรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 1962

แต่ในทางกลับกันหลายคนก็มองว่าเธอไม่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพม่าได้ คนพม่าหลายคนที่ผู้เขียนเคยพูดด้วยระหว่างปี 2008 ถึง 2009 ถึงกับส่ายหน้าและกล่าวแบบไม่อ้อมค้อมว่าเขาไม่เชื่อว่ารัฐบาลทหารจะยอมปล่อยตัวเธอง่าย ๆ และยิ่งไม่เชื่อใหญ่ว่าจะมีอุบัติการทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นเว้นเสียแต่กองทัพทะเลาะกันเองและผู้นำคนปัจจุบันก้าวลงจากอำนาจ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก) บ้างอยากเห็นเธอเคลื่อนไหวในต่างแดน (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า) หรือแม้แต่การให้นานาชาติเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด)

ข่าวลือการปล่อยตัวนางอองซานซุจีประกอบกับการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์และพายุไซโคลนกิริที่พัดกระหน่ำพม่าทางฝั่งตะวันตกอย่างหนักทำให้สื่อต่างชาติให้ความสนใจพม่าเป็นพิเศษและโหมเขียนข่าวเกี่ยวกับการเมืองพม่าตลอดเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่น่าแปลกใจที่ความตื่นเต้นยินดีดังกล่าวจะทำให้หลาย ๆ คนยังนำเธอไปเปรียบเทียบกับเนลสัน แมนดาลา อดีตผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการต่อต้านสีผิว (Apartheid) ในแอฟริกาใต้

บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์ ดิ ออปเซิฟเวอร์ วันที่ 14 พฤศจิกายน กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าการปล่อยตัวอองซานซุจีไม่มีนัยยะทางการเมืองที่จะเทียบได้กับการปล่อยตัวนายเนลสัน แมนเดลา

“สำหรับผู้ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอ [อองซานซุจี] รวมไปถึงชาติในยุโรปหลายชาติ เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลอง แต่มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของพม่าและไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับเหตุการณ์การปล่อยตัวเนลสัน แมนเดลาอย่างที่หลาย ๆ คนเชื่อ”

บทบรรณาธิการเดียวกันยังกล่าวต่อไปอย่างน่าสนใจว่า

“เนลสัน แมนเดลาถูกปล่อยตัวเพราะคนที่ปกครองแอฟริกาใต้ในสมัยนั้นรู้ดีว่าเกมส์มันกำลังจะจบ กล่าวคือนโยบายต่อต้านสีผิวมันใช้ไม่ได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามเหล่านายพลระดับสูงในรัฐบาลทหารพม่ากลับต้องการรักษาอำนาจของตนไว้ให้ได้อย่างเด็ดขาด รัฐบาลพม่าจัดการเลือกตั้งจอมปลอมขึ้นและพรรคที่รัฐบาลตั้งขึ้นมากลายเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง (…) ประเทศอื่น ๆ ที่กำลังหาโอกาสทำการค้าเพิ่ม [กับพม่า] คงพร้อมยกเลิกการคว่ำบาตร ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ [รัฐบาลพม่า] คำนวณไว้เรียบร้อยแล้วและคงจะเป็นเงื่อนไขสำหรับการปล่อยตัวอองซานซุจี”

เมื่อวีรบุรุษสร้างวีรสตรี
อองซานซุจีมีวัยเด็กที่เรียบง่าย ครอบครัวทางบิดาเป็นครอบครัวชนชั้นกลางแถบมักกเว ด้านมารดาดอขิ่นจีตอนที่พบรักกับนายพลอองซานเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลกลางในย่างกุ้ง นับตั้งแต่ปี 1933 นายพลอองซานถือว่าเป็นวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยพม่าออกจากการปกครองของอังกฤษที่มีมายาวนานตั้งแต่ปี 1826 เขามีบทบาทโดดเด่นเป็นผู้นำต่อต้านการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษเริ่มตั้งแต่เป็นประธานสโมสรนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งจนกระทั่งถูกลอบสังหารในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1947 เมื่ออองซานซุจีอายุได้เพียง 2 ปี หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารดอขิ่นจีเข้ารับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในรัฐบาลอูนุ รวมทั้งตำแหน่งเอกอัครทูตประจำกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียในปี 1960 ตั้งแต่ตอนนี้อองซานซุจีใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกพม่า เธอใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในอินเดียและเข้าศึกษาต่อในเซนต์ฮิวส์คอลเลจ (St Hughes’s College) มหาวิทยาอ๊อกฟอร์ดและได้รับปริญญาบัญฑิตสาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ เธอสมรสกับไมเคิล อริส ที่ในขณะนั้นเป็นนักวิชาการทางธิเบตศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ครอบครัวพร้อมลูกชายสองคน อเล็กซานเดอร์และคิมใช้ชีวิตในภูฎานราวหนึ่งปีในครั้งที่ที่อริสทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์อยู่ในราชสำนักภูฎาน

ในปี 1988 อองซานซุจีกำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกอยู่ ณ สถาบันเอเชียและแอฟริกันศึกษา [School of Oriental and African Studies (SOAS), University of London] ด้านวรรณคดีกับปรมาจารย์ด้านภาษาพม่าอย่างจอห์น โอเคลและแอนนา อัลลอท เมื่อได้รับข่าวร้ายว่ามารดาป่วยหนัก เธอตัดสินใจกลับย่างกุ้งเพื่อไปดูแลมารดาของเธอทันทีโดยที่ไม่ได้ฉุกคิดว่าเธอจะไม่มีโอกาสกลับไปอังกฤษและอยู่กับครอบครัวที่เธอรักอีก

ในปีเดียวกันราวฟ้าลิขิต นักเรียนนิสิตนักศึกษาในย่างกุ้งเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลพรรคเดียวของนายพลเนวินลาออก จากการประท้วงของนิสิตนักศึกษากลุ่มเล็ก ๆ เหตุการณ์บานปลายตั้งแต่เดือนมีนาคมเมื่อรัฐบาลและตำรวจใช้วิธีรุนแรงล้อมวงและทุบตีนิสิตนักศึกษาใกล้มหาวิทยาลัยย่างกุ้งจนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการล้อมปราบนิสิตนักศึกษาอีกครั้ง แม้จะไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงให้เห็นเหมือนครั้งก่อน แต่มีนิสิตนักศึกษา 41 คนถูกจับยัดใส่รถตำรวจและขาดอากาศหายใจเสียชีวิตทั้งหมด แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่นิสิตนักศึกษาและยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและนิสิตนักศึกษาประทุหนักขึ้นจนรัฐบาลต้องออกเคอร์ฟิวในย่างกุ้งและหัวเมืองสำคัญ ๆ อื่น ๆ บางแห่ง [4]

แต่การประท้วงของนิสิตนักศึกษายังมีต่อไปและมาถึงจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมในปีเดียวกันเมื่อเส่งลวิน ผู้ที่ออกคำสั่งปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงอย่างหนักโดยเฉพาะในเหตุการณ์สองเหตุการณ์ข้างต้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ รัฐบาลในขณะนั้นที่กลัวพลังนิสิตนักศึกษาอยู่แต่เดิม ใช้มาตรการขั้นรุนแรงและเด็ดขาด เช่น การปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย หรือการทำข้อตกลงแกมบังคับให้องค์กรสงฆ์ห้ามไม่ให้พระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วงเป็นต้น แต่เหตุการณ์ความรุนแรงก็ยังมีอยู่ต่อไป เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนเฉพาะในย่างกุ้งเมืองเดียว [5]

เหตุการณ์การสังหารหมู่กลุ่มผู้ประท้วงในครั้งนั้นประกอบกับการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลหุ่นของนายพลเนวินยิ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจ และถือเป็นวิกฤตที่กลายเป็นเวทีแจ้งเกิดทางการเมืองของอองซานซุจีที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีบทบาททางการเมืองใด ๆ ในพม่า ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 1988 เธอเคยเขียนจดหมายไปยังรัฐบาลให้ยอมรับระบบการเมืองแบบหลายพรรค เธอกลายเป็นที่ยอมรับในหมู่นิสิตนักศึกษาและประชาชนที่สนใจการเมืองอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 สิงหาคม 1988 เมื่อเธอกล่าวสุนทรพจน์ครั้งใหญ่ต่อหน้าฝูงชนเรือนแสนที่มารอฟังเธอที่ลานหน้าพระเจดีย์ชเวดากอง ผู้ฟังจำนวนมากเป็นพระภิกษุ ท่ามกลางผู้ชุมนุมนับพันที่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นเป็นผู้ชาย เธอคือผู้หญิงเพียงคนเดียวบนเวทีที่สายตาหลายพันคู่จ้องมองและต่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง ในตอนนั้นเธอไม่มีความรู้สึกอยากข้องเกี่ยวกับการเมือง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสามีและลูกเล็กอีกสองคนอยู่อังกฤษ และความเชี่ยวชาญของเธอเป็นเรื่องวรรณคดีไม่ใช่เรื่องการเมือง

แต่ในท้ายที่สุดเธอต้องลงมาทำงานการเมืองแบบเต็มตัวเมื่อรัฐบาลที่ตอนนั้นมี ดร.หม่องหม่องเป็นผู้นำ ปฏิเสธไม่ยอมให้มีการทำประชาพิจารณ์และเสนอให้มีการเลือกตั้งที่มีพรรคอื่นเข้าร่วม ข้อเสนอของรัฐบาลถูกอองซานซุจีปฏิเสธ ข้อเสนอของเธอที่ให้ต่อรัฐบาลดร.หม่องหม่องคือรัฐบาลต้องขับนายพลเนวินออกจากประเทศทันทีเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าการเมืองจะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นโดยไม่ผ่านการชักใยจากเผด็จการทหาร

ความขัดแย้งภายในกองทัพและรัฐบาลในขณะนั้นรวมกับความอ่อนแอของกองทัพหลังการชุมนุมประท้วงที่ทำให้ทหารและตำรวจรวมทั้งข้าราชการหลาย ๆ คนต่างสำนึกและอับอายกับสิ่งที่กองทัพทำ ทหารตำรวจและข้าราชการบางคนเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง นับตั้งแต่นายพลเนวินขึ้นสู่อำนาจไม่มีครั้งใดที่กองทัพและรัฐบาลพม่าจะอ่อนแอเท่าครั้งนั้น หลายคนในตอนนั้นเชื่อว่าพลังของประชาชนนี่แหล่ะคือพลังที่ทรงพลังที่สุดในอันที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมและระบบการเมืองที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมได้

แต่เหตุการณ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ นายพลซอหม่องทำรัฐประหารคว่ำรัฐบาล ดร.หม่องหม่องและใช้มาตรการขั้นรุนแรงขั้นสูงสุดกับผู้ชุมนุมและผู้มีความเห็นต่างกับรัฐบาล รัฐบาลปกครองประเทศในนามสลอร์ก (SLORC - State Law and Order Restoration Council) พัฒนาการทางการเมืองที่สำคัญในยุคสลอร์กช่วงต้นคือการเปิดโอกาสให้มีการตั้งพรรคการเมือง นอกจากนั้นยังประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นที่มาของพรรคการเมืองฝ่ายค้านในนามเอ็นแอลดี (NLD – National League for Democracy) มีนางอองซานซุจีเป็นเลขาธิการพรรค เอ็นแอลดีกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคเดียวที่รัฐบาลเกรงกลัวเป็นพิเศษ รัฐบาลใช้วิธีต่าง ๆ นานาเพื่อขัดขวางการหาเสียงของอองซานซุจี ในที่สุดเมื่อรัฐบาลที่สู้กระแสของนักการเมืองหน้าใหม่บุตรสาวคนเดียวของนายพลอองซานไม่ได้ต้องใช้ไม้แข็งคือคุมตัวเธอและหัวหน้าพรรคเอ็นแอลดีอูทินอูไว้ในบ้านพักและจับกุมสมาชิกพรรคหลายพันคนทั่วประเทศโดยอ้างว่ามีหลักฐานว่าเอ็นแอลดีจงใจก่อความไม่สงบ [6] แม้อองซานซุจีจะถูกคุมตัวการเลือกตั้งก็ยังมีต่อไป ผลการเลือกตั้งในปี 1990 ที่ปรากฎว่าพรรคของเธอได้ชัยชนะอย่างท่วมท้น มีคนพม่าถึง 7.5 ล้านคนออกมาใช้สิทธิในครั้งนั้น รัฐบาลกล่าวหาว่าการเลือกตั้งในครั้งนั้นไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมและประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง

อองซานซุจีถูกควบคุมตัวถึงปี 1995 ถูกจับกุมอีกครั้งในปี 2000 จากความพยายามเดินทางไปมัณฑะเลย์ หัวเมืองใหญ่อันดับสองของพม่า ได้รับการปล่อยตัวในปี 2002 ปีถัดมาเธอถูกจับกุมในข้อหาปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในชาติหลังจากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนพรรคเอ็นแอลดีกับฟากรัฐบาล ต่อมาถูกควบคุมตัวในบ้านพักและได้รับการปล่อยตัวครั้งล่าสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2010 ที่ผ่านมา [7]

ว่าด้วยการสร้างวีรสตรีและอองซานซุจี
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกต่างร่วมกันรณรงค์ให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวอองซานซุจี องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับพม่าที่มีอยู่กว่า 30 องค์กรใน 27 ประเทศทั่วโลก [8] และมีองค์กรอิสระขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อยเมื่อไซโคลนนาร์กิสพัดเข้าชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า ก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินได้ ประเมินว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 140,000 คน [9] สิ่งที่กระตุ้นให้สื่อทั่วโลกให้หันมาสนใจพม่ามากขึ้นในตอนนั้นคือการที่รัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างชาติและไม่ออกวีซ่าให้ทั้งสื่อและคนทำงานช่วยเหลือด้านสาธารณภัยเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

ในปีเดียวกัน US Campaign for Burma ออกรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อให้ปล่อยตัวอองซานซุจี และมีดาราฮอลลีวูดอย่างจิม แครี่และผู้นำทางสิทธิมนุษยชนและสันติภาพอย่างติช นัก ฮันปรากฎอยู่ในคลิปวีดีโอที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก คลิปส่วนใหญ่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่สุดแสนจะหดหู่และน่าเวทนาในพม่าและไม่ลืมส่งข้อความให้คนทั่วโลกเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวอองซานซุจี ในคลิปหนึ่งที่มีจิม แครี่เป็นผู้เล่าเรื่อง แครี่เริ่มเล่าเรื่องด้วยประโยคที่ว่า “ผมอยากจะเล่าเกี่ยวกับฮี่โร่ในดวงใจของผมคนหนึ่ง ชื่อของเธอคืออองซานซุจี เธอเป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุด [แครี่ใช้คำว่า “champion”] ทางด้านสิทธิมนุษยชนและความดีงามในเอเชีย และเป็นสัญลักษณ์ของความหวังสำหรับผู้ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ (...)” [10]

คนส่วนใหญ่ทั้งในและนอกพม่ามักมองเธอโดยใช้กรอบทฤษฎีมหาบุรุษ (The Great Man Theory) แน่นอนสำหรับชาวพม่าจำนวนหนึ่งอองซานซุจีคือคนสำคัญ เธอคือสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยในปัจจุบันและความรุ่งเรืองของพม่าที่เคยมีในอดีต ไม่น่าแปลกที่คนพม่ารุ่นก่อน ๆ มักจะมองเธอแบบโหยหาอดีต (nostalgia) เพราะเธอคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายพล อองซาน วีรบุรุษแห่งชาติที่ปลดแอกพม่าออกจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ บ้างก็เห็นว่าเธอเป็นชาวพม่าคนที่สองที่เป็นที่รู้จักอย่างจริงจังในโลกตะวันตกถัดจากอูถั่น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติที่เป็นชาวเอเซียคนแรก (เลขาธิการองค์การสหประชาชาติลำดับที่ 3 เข้ารับตำแหน่งปี 1961) ประกอบกับชีวประวัติของเธอที่น่าสนใจและสุดขมขื่นในบางช่วง ยกตัวอย่างเช่นการที่เธอตัดสินใจไม่กลับไปดูใจสามีดร.ไมเคิล อริส (Michael Aris) เมื่ออริสป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายและเสียชีวิตในปี 1999 แม้รัฐบาลทหารในตอนนั้นจะให้โอกาสเธอออกนอกประเทศได้ เพราะรู้ดีว่าหากเดินทางไปอังกฤษครานั้นเธอจะไม่มีโอกาสกลับมาบ้านเกิดอีก

คำว่า “ฮีโร่” เป็นคำที่สื่อต่างชาติมักนำมาใช้เพื่อบรรยายความสำคัญของอองซานซุจี แต่สำหรับคนพม่าแล้วอองซานซุจีอาจจะไม่ได้มีสถานะเป็น “ฮีโร่” อย่างที่สื่อต่างชาติมักอ้างถึง ภาพคนพม่านับพันที่ไปรอเฝ้าหน้าบ้านพักของเธอบนถนนหน้ามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง เป็นภาพที่น่าประทับใจ ฝูงชนต่างโห่และตะโกนชื่อของเธอ “ดอ ซุ” และต่างอวยพรให้เธอมีสุขภาพแข็งแรง ภาพเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าฝูงชนเหล่านี้มองเธออองซานซุจีเป็นฮีโร่ของคนพม่าแต่อย่างใด ในช่วงเวลาราว 15 ปีที่เธอถูกคุมขังอยู่ในบ้านพัก อำนาจของรัฐบาลทหารและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของนายทหารระดับสูงไม่กี่คนยังคงมีอยู่ต่อไปและยิ่งจะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น อองซานซุจีอาจจะมีสถานะพิเศษในสังคมพม่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะภูมิหลังที่ทางครอบครัวที่ทำให้ผู้คนฝากความหวังไว้กับเธอ และความที่เป็นผู้หญิงบุคลิกแกร่งฝีปากกล้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วง 21 ปีหลังอยู่ในบ้านพักและถูกควบคุมการเข้าถึงข่าวสารอย่างเข้มงวด ในทางปฏิบัติข้อจำกัดเหล่านี้ไม่เปิดโอกาสให้เธอทำงานทางการเมืองได้อย่างเต็มตัว เธออาจจะเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวตามครรลองประชาธิปไตย แต่เธออาจจะยังไม่ใช่ผู้นำทางประชาธิปไตย เพราะพม่าไม่เคยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยมาเลยนับตั้งแต่ต้นศตวรรษ 1960 และถ้ามองให้ดีโดยพักทฤษฎีมหาบุรุษไว้สักนิด จะเห็นว่าพรรคเอ็นแอลดียังไม่เคยประสบความสำเร็จทางการเมือง แม้จะได้ใจจากผู้สนับสนุนและคนพม่าส่วนใหญ่ แต่หากไม่ได้รับความยินยอมหรือความร่วมมือจากฝั่งรัฐบาลที่หวงอำนาจแบบสุดขั้วแล้ว ความเปลี่ยนแปลงตามครรลองประชาธิปไตยเห็นว่าจะเกิดขึ้นได้ยากมากในพม่า

“รัฐไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
เห็นทีประโยคนี้คงจะไม่ได้มีไว้สำหรับรัฐไทยเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดรัฐไทยนับตั้งแต่พ.ศ.2505 (เทียบได้กับ ค.ศ.1962 ปีที่นายพลเนวินทำรัฐประหาร) ก็ยังมีผู้นำมากหน้าหลายตา ทั้งจากฝ่ายทหารและพลเรือน และผู้นำบางคนยังมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันไปแบบสุดขั้ว ความหลากหลายทางการเมืองที่กล่าวมานี้ไม่เคยเกิดขึ้นในพม่ามาหลายทศวรรษ หากมองให้ดีจะเห็นว่าเมื่อประชาชนออกมาประท้วง รัฐบาลพม่าจะใช้วิธีเดิม ๆ แบบขอไปทีเพื่อลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลทหารกับประชาชน ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด และยังมีความพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะให้รัฐบาลทหารมีภาพความ “อ่อนโยน” และ “ประนีประนอม” แบบรัฐบาลพลเรือน และมักให้ภาพพรรคฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นกลุ่มนักการเมืองกระด้างกระเดื่องที่นำกลุ่มเชื้อชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนพม่าแท้หรือไม่ก็เป็นพวกคอมมิวนิสต์ นโยบาย “อ่อนโยน” ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีประชาชนออกมาเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย เห็นได้ในเหตุการณ์ใหญ่สองครั้ง

ครั้งแรก ในปี 1988 เมื่อนายพลเนวินประกาศลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองและออกมาเรียกร้องให้ทำประชามติเพื่อกำหนดทิศทางทางการเมืองของพม่า แต่ในท้ายที่สุดสมาชิกพรรครัฐบาลออกมาประท้วงอย่างหนักและไม่ยินยอมให้มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ในเดือนกรกฎาคม 1988 เส่งลวินขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ต่อจากเนวิน แต่สิ่งที่ทำให้นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไปรับไม่ได้คือการที่เส่งลวินเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่นิสิตนักศึกษาทั้งจากเหตุการณ์ล้อมตีและเหตุการณ์รถตำรวจมรณะที่คร่าชีวิตนิสิตนักศึกษากว่า 40 ศพ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่แบบสุดขีดและภาพลักษณ์ของพม่าด้านสิทธิมนุษยชนที่ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ รัฐบาลใช้วิธียิงกระสุนจริงเข้าสู่กลุ่มผู้ชุมนุม ภายหลังการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ ในครั้งนั้นรัฐบาลแก้เกมส์โดยแต่งตั้งดร.หม่องหม่องที่ปรึกษาด้านกฎหมายคนสนิทของนายพลเนวินที่เป็นพลเรือนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี และประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรก

ครั้งที่สอง คือการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งล่าสุดระหว่างเดือนกันยายนและตุลาคม ปี 2007 สาเหตุหลักจากการประท้วงครั้งนั้นมาจากปัญหาปากท้องของประชาชนมากกว่าปัญหาทางการเมือง ความไม่พอใจเกิดจากรัฐบาลประกาศยกเลิกอุ้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในชั่วข้ามคืนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่าสองเท่าตัว ความสำคัญของการประท้วงในครั้งนี้คือการเข้ามามีบทบาทสำคัญของพระสงฆ์ที่เป็นผู้นำการประท้วงและพยายามใช้ธรรมะเข้าเจรจากับรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีทั้งพระสงฆ์ เด็กและสตรีอย่างรุนแรงเหมือนที่เคยเป็นมา ประเมินกันว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนและสูญหายอีกจำนวนมาก พระสงฆ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงหากไม่โดนจับก็ระเห็ดไปอยู่เมืองอื่น ๆ นอกย่างกุ้ง บทเรียนทั้งรัฐบาลนายพลตานฉ่วยได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 1988 คือรัฐบาลจะต้องสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และต้องสกัดกั้นไม่ให้พรรคฝ่ายค้านของนางอองซานซุจีซึ่งได้รับความนิยมมากมีบทบาทในการเลือกตั้ง มาตรการที่รัฐบาลใช้ปลอบใจคือการประกาศให้มีการทำประชาพิจารณ์ในปี 2008 อันเป็นที่มาของโร๊ดแม๊บเพื่อนำไปสู่ระบอบการปกครอบแบบประชาธิปไตยและความสมานสามัคคีภายในชาติ อ้างว่าเป็นเครื่องมือบ่มเพาะประชาธิปไตยและความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ

หนึ่งในกลยุทธ์การ “สร้าง” ประชาธิปไตยสไตล์พม่าคือการจัดการเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านออกมาประท้วงและคว่ำบาตรการเลือกตั้งเพราะเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่จะยิ่งทำให้กองทัพแข็งแกร่งขึ้นและมีความชอบธรรมที่จะปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยทางการเมืองมากขึ้นอีกด้วย ผลการเลือกตั้งออกมาตามคาดคือพรรคฝั่งรัฐบาลชนะพรรคอื่น ๆ แบบขาดลอย ไม่กี่วันหลังการเลือกตั้งก็เป็นคราวที่รัฐบาลต้องสร้างภาพความดีงามให้ประจักษ์ต่อทั้งสายตาคนพม่าและชาวโลกอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของโร๊ดแม๊บเพื่อการสร้างประชาธิปไตยและความสามัคคีในพม่า และนั่นคือการปล่อยตัวนางอองซานซุจี สามวันหลังจากการเลือกตั้ง

ผู้เขียนจำได้ว่าเคยถามอาจารย์ชาวพม่าเมื่อหลายปีที่แล้วหลังเหตุการณ์ไซโคลนนาร์กิสว่าคิดว่าพม่ายุคนี้กับยุคนายพลเนวิน ยุคไหนดีกว่ากัน อาจารย์ยิ้มมุมปากและพูดด้วยเสียงแห้ง ๆ ว่า “ก็ไม่ดีทั้งคู่นั่นล่ะ” และก็พูดต่อไปว่า “แต่ฉันว่ายุคเนวินยังดีกว่ายุคนี้นะ ถึงจะเป็นเผด็จการแต่อย่างน้อยเด็ก ๆ ก็ยังได้ทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย [ปัจจุบันมหาวิทยาลัยย่างกุ้งและมหาวิทยาลัยรัฐอื่น ๆ ถูกปิด แม้จะมีการเรียนการสอนอยู่บ้างแต่เป็นแบบไม่เป็นทางการ และสภานิสิตนักศึกษาโดนสั่งปิดแบบถาวร ผู้เขียน] ผู้คนอภิปรายเรื่องการเมืองได้ระดับหนึ่งโดยไม่ต้องกลัวพวกสอดแนม อีกอย่างหนึ่งยุคนั้นน้ำไฟก็มีพร้อม เด็ก ๆ มีไฟอ่านหนังสือตอนกลางคืน แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นเลย”

หากเรามองรัฐสมัยใหม่ของพม่าผ่านทางประวัติศาสตร์ทางการเมืองก็จะเห็นได้ว่ากงล้อการเมืองของพม่าหมุนไปตามวัฎจักรแบบเดิม ๆ หมุนไปแบบช้า ๆ เนิบนาบ ความสึกหรอของกลไกทางการเมืองแบบพม่าถ้าไม่ถูกยกเครื่องและซ่อมแซมจากภายใน เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงที่คนพม่าและคนทั่วโลกถวิลหานั้นคงเกิดขึ้นได้ยาก


เชิงอรรถ
:
[1] Jack Davies, “Aung San Suu Kyi release brings joy, tears – and new hope for Burma,” The Guardian, 13 November 2010 อ่านได้จาก  http://www.guardian.co.uk/world/2010/nov/13/burma-aung-san-suu-kyi-released

[2] Phoebe Kennedy, “A date with destiny: Aung San Suu Kyi coud be just hours from freedom,” The Independent, 12 November 2010

[3] Tharaphi Than, “Writers, Fighters, Prostitutes: Women and Burma’s Modernity, 1942-62,” (PhD diss., University of London, 2010). ธะระปีอ้างจากบทความของ J.S. Furnivall ในนิตยสาร Far Eastern Survey ปีที่ 18 ฉบับที่ 17 (ค.ศ.1949) หน้า 194; หนังสือพิมพ์รายวันพม่าที่ตีพิมพ์ในขณะนั้นชื่อ Htun Daily (ทุนรายวัน) ฉบับวันที่ 9 กรกฎาคม 1956 และหนังสือของดอมยาเซน (Daw Mya Sein) ชื่อ Burma: The Country, the People, Their History, Administration, Resources and Trade Communications, Education and Religion, Relations with India, Nationalism, The Future, Oxford University Press, 1944, หน้า 8. ดอ มยา เส่งเป็นผู้หญิงที่มีบทบาทโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ในช่วงปลายสมัยอาณานิคม เป็นผู้หญิงพม่าคนแรก ๆ ที่มีบทบาทด้านการเมืองทั้งในระดับชาติและนานาชาติและที่ได้รับการศึกษาในยุโรป ดอ มยา เส่งยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากเซนท์ฮิวส์คอลเลจ St Hughes’s College) มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด เป็นคอลเลจเดียวกับอองซานซุจีสำเร็จการศึกษาปริญญาบัณฑิต

[4] Michael Charney. A History of Modern Burma. New York: Cambridge University Press, pp.148-49

[5] เล่มเดียวกัน, หน้า 153

[6] Michael Charney, หน้า 166-7

[7] http://www.guardian.co.uk/world/2010/nov/12/suu-kyi-timeline-burma

[8] ดูรายละเอียดได้ในเวบไซต์ของ Burma Campaign UK ที่ http://www.burmacampaign.org.uk/index.php/burma/links/all-links/37

[9] ตัวเลขจาก US Campaign for Burma http://uscampaignforburma.org/cyclone-nargis

[10] http://www.youtube.com/watch?v=NySuaJ2B20E&playnext=1&list=PLF2E18A1D8A6B9D52&index=13

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท