หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองสีเหลืองสีแดงที่หันมาจับมือกันกลายเป็นเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็น (The Peaceful Homeland Network) อันทรงพลังของจังหวัดเชียงใหม่ที่ฝ่ายบ้านเมืองมองด้วยสายตาหวาดระแวงว่าอนาคตการบริหาราชการแผ่นดินจะเหลือเพียงการบริหารราชการส่วนกลางและการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นโดยไม่มีราชการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอีกต่อไป
การเกิดขึ้นของเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นมีเหตุเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาที่ผู้คนต่างถูกแบ่งออกเป็นสีต่างๆซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจสังคมเป็นอันมาก จึงเกิดการรวมตัวของนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งสังกัดในทั้งสีเหลืองและแดงหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันอย่างเงียบๆโดยนักวิชาการที่รักสันติเป็นแกนกลางว่าเราไม่สามารถปล่อยให้เชียงใหม่ตกอยู่ในสภาพของความขัดแย้งแบบนี้อีกต่อไป
หลังจากมีการก่อตัวของเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นเกิดขึ้น ผู้คนที่มีความหวังดีต่อบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหอการค้า สภาอุตสาหกรรม นักกฎหมาย นักวิชาการ สื่อมวลชน กลุ่มองค์กรปกครองท้องถิ่น กลุ่มอดีตนายทหารชั้นพลแกนนำทหารกองหนุน กลุ่มโชเชียลเน็ตเวิร์ค (เฟซบุค) กลุ่มเกษตรกร กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเอ็นจีโอต่างๆ ฯลฯ จึงได้มีการสัมมนาอย่างเป็นทางการขึ้นโดยการสนับสนุนของสถาบันส่งเสริมประชาธิปไตย (National Democratic Institute) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและตามด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการอีกหลายครั้ง
ผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการที่มีความคืบหน้ามาตามลำดับนั้นได้ผลสรุปว่าเหตุแห่งปัญหาทั้งมวลที่ทำให้บ้านเมืองของเรายังไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควรไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ด้านธุรกิจหรือด้านภาคเกษตรกรรมก็คือปัญหาของการรวมศูนย์อำนาจของรัฐไทยนั่นเอง เครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นจึงมีมติร่วมกันว่าถึงเวลาที่จะได้เป็นแกนนำในการขับเคลื่อนนโยบายท้องถิ่นจัดการตนเองดังเช่นในนานาอารยประเทศทั้งหลาย
การจัดการตนเองในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะมุ่งไปยังความเป็นอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์ดังที่ผู้ครองอำนาจรัฐทั้งหลายหวาดระแวงหรือใช้เป็นข้ออ้างในการปกป้องอำนาจของตนเอง แต่มุ่งไปที่การลดขั้นตอนของการบริหาราชการแผ่นดินและเพิ่มอำนาจในการตัดสินใจของท้องถิ่น
๑) จะจัดการตนเองในเรื่องอะไรบ้าง ประเด็นในการขับเคลื่อนได้มุ่งเน้นไปยัง
· การศึกษา
· เกษตรกรรม
· การท่องเที่ยว
· วัฒนธรรม
· สิ่งแวดล้อม/ทรัพยากรธรรมชาติ
· ระบบภาษี/การเก็บภาษี/การจัดสรรงบประมาณ
· ตำรวจ
· สาธารณสุข
· สวัสดิการสังคม
· ผังเมือง
๒)โครงสร้างภายในจังหวัดควรเป็นอย่างไร
· ระบบบริหาร ที่ประกอบไปด้วย ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและกรรมาธิการภาคประชาชน
· ที่มาของฝ่ายแต่ละฝ่าย มีการระดมความเห็นเพื่อกำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่และการออกจากตำแหน่งให้ชัดเจน
๓)การจัดความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง
· หัวหน้าฝ่ายบริหารของจังหวัดซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดหรือในชื่ออื่นที่มาจากการเลือกตั้ง (ที่สามารถถูกประชาชนดุด่าว่ากล่าวและถูกปลดออกจากตำแหน่งได้) แทนที่การแต่งตั้งจากส่วนกลางเสมือนหนึ่งการไปปกครองเมืองขึ้นในยุคอาณานิคม
· หัวหน้าส่วนราชการต่างๆจะอยู่ในการกำกับดูแลของหัวหน้าฝ่ายบริหารของที่มาจากการเลือกตั้ง
· การปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) จะยังคงมีต่อไปหรือไม่ หากยังคงอยู่ต่อจะอยู่ต่อในลักษณะใดในองค์กรปกครองท้องถิ่นเพราะไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอีกต่อไป
กระบวนการขับเคลื่อน
ในการขับเคลื่อนของกลุ่มบ้านชุ่มเมืองเย็นจะวิเคราะห์ระบบโครงสร้างเก่าให้เห็นถึงผลกระทบจาก การรวมศูนย์ในปัจจุบัน โดยเชื่อมประเด็นเดิมว่ามีโครงสร้างและความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรอย่างไร การก้าวเข้าไปสู่ระบบโครงสร้างใหม่และที่สำคัญที่สุดก็คือประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการนำเสนอโครงสร้างใหม่นี้ โดยจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการตนเองซึ่งสามารถยกตัวอย่างประเทศที่มีโครงสร้างหรือประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกับไทย
ตัวอย่างที่สามารถนำมาเสนอให้เห็นความชัดเจนของการจัดการตนเอง เช่น การเป็นรัฐเดี่ยวและมีสถาบันกษัตริย์ของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นไม่มีการบริหารราชส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด มีเฉพาะการบริหาราชการส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นเท่านั้นและหัวหน้าฝ่ายบริหารของจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งและดูแลส่วนราชการต่างๆ
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ อังกฤษที่มีการปกครองในระบอบรัฐสภามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเช่นกันก็ไม่มีการบริหาราชการส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด หรือแม้กระทั่งเกาหลีใต้ที่ผ่านยุคเผด็จการมาเช่นเดียวกับไทยแต่ปัจจุบันนับตั้งแต่ปี ๑๙๙๕ เกาหลีใต้ก็มีเฉพาะราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเท่านั้นไม่มีราชการส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด
ที่สำคัญก็คือฝรั่งเศสที่เราไปลอกรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาคของเขามา ในปัจจุบันฝรั่งเศสรูปแบบการปกครองของภาคและจังหวัดก็กลายเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นไปหมดแล้วมีประธานสภาภาคและประธานสภาจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดเดิมก็แปรสภาพไปเป็นผู้ตรวจการณ์แห่งสาธารณรัฐ (Commissioner of the Republic) แทนตั้งแต่ปี ๑๙๘๒ แล้ว
หากการขับเคลื่อนโมเดลเชียงใหม่จัดการตนเองซึ่งเป้าหมายสุดท้ายคือการเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนเข้าชื่อกันใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญประสพความสำเร็จแล้ว ก็เชื่อว่าจะเป็นการจุดประกายของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในปัจจุบันของจังหวัดอื่นๆ
ป่วยการที่จะอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาด้วยเหตุว่าประชาชนยังไม่พร้อม บัดนี้ ประชาชนพร้อมแล้วครับ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเองต่างหากที่ยังไม่พร้อม ผู้ที่ขัดขืนกระแสโลกาภิวัตน์ของประชาชนย่อมที่จะเป็นฝ่ายถูกกวาดตกเวทีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปในที่สุด
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)