กลไกสิทธิ เป็นลูกแกะมากกว่าราชสีห์

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
 
แปลและเรียบเรียงจาก: http://www.bangkokpost.com/news/politics/210916/rights-body-more-a-lamb-than-a-lion  ( 12 ธันวาคม 2553)

ผู้เขียน: Achara Ashayagachat 

 
 
 
ท่าทีระวังตัวเกินเหตุของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดปัจจุบันทำให้นักสิทธิมนุษยชนบางส่วนมองว่าคณะกรรมการฯ ที่ควรจะเป็นองค์กรอิสระนี้ได้กลายสภาพเป็นพรรคพวกของรัฐบาลไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงกลางเมืองกรุงเทพฯ ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และการใช้พรก.ฉุกเฉินจัดการกับฝ่ายตรงข้ามที่รัฐบาลมักติดป้ายให้เป็นผู้ก่อการร้าย
 
รัฐธรรมนูญ 2550 ให้อำนาจคณะกรรมการสิทธิฯ ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐที่ละเมิดสิทธิได้ แต่อำนาจอันใหม่นี้ยังต้องรอให้มีกฎหมายลูกเสียก่อน
 
พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อของสมาพันธ์ที่เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติการทางทหารที่ถนนราชปรารภเมื่อเดือนพฤษภาคม บอกว่า การที่หน่วยงานรัฐอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ไม่ค่อยให้ค่ากับชะตากรรมของเหยื่อในเหตุการณ์เมย.-พค.นั้น เป็นที่เข้าใจได้ ถึงจะรับไม่ได้ก็ตาม แต่มันน่าสังเวชและน่าทุเรศที่องค์กรที่ควรจะเป็นอิสระอย่างคณะกรรมการสิทธิฯ ที่เคยถูกถือว่าเป็นองค์กรที่สนับสนุนประชาธิปไตยระดับภูมิภาค กลับปิดปากเงียบเฉยมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา
 
พันธ์ศักดิ์แสดงความเห็นนี้หลายสัปดาห์ก่อนที่ประธานคณะกรรมการสิทธิฯ อมรา พงศาพิชจะออกมาพูดเมื่อต้นเดือนนี้ว่ารายงานของคณะกรรมการสิทธิฯ เกี่ยวกับการชุมนุมคนเสื้อแดงจะเสร็จสิ้นในเดือนหน้า
 
นักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่มองว่าท่าทีระวังตัวของคณะกรรมการสิทธิฯ ชุดปัจจุบันนี้ (ซึ่งมาจากกระบวนการสรรหาปีที่แล้วที่เป็นปัญหาแต่เริ่มต้น) เป็นผลมาจากบรรยากาศการปิดปากเงียบในทุกๆ ส่วนของสังคมไทย กรรมการสิทธิฯ หลายรายบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการให้คณะกรรมการสิทธิฯ “ถูกใช้” ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งทางการเมือง
 
“การทำหรือไม่ทำอะไร และคำพูดที่สื่อต่อสาธารณะอะไรต่างๆ ล้วนมุ่งที่จะบรรเทาและไม่ตอกย้ำบาดแผลในสังคมที่เกิดจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง” เจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของคณะกรรมการสิทธิฯ ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม กล่าว
 
นั่นอาจเป็นคำอธิบายได้ว่าทำไมคณะกรรมการสิทธิฯ จึงไม่มีการเปิดเผยถึงเหตุการณ์อย่างการจับกุมคุมขังผู้ชุมนุมเสื้อแดงราว 16 คนในรถคุมขังกลางแจ้งถึงสามวันสองคืนที่มุกดาหารหลังการสลายการชุมนุม 19 พค. ที่กรุงเทพฯ แหล่งข่าวหลายรายบอกว่า ผู้ชุมนุมเหล่านั้น ซึ่งมีเยาวชนรวมอยู่ด้วยหนึ่งคน ถูกขังอยู่ในรถคุมขังของตำรวจคันเดียวและไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งจะออกไปเข้าห้องน้ำ
 
“กระทั่งกรรมการสิทธิฯ ที่แข็งขันและมีความเห็นอกเห็นใจมากที่สุดอย่างเช่น นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ก็ยังตกอยู่ในภาวะเซ็นเซอร์ตัวเอง ก็ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น” เจ้าหน้าที่รายเดิมกล่าว
 
ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่กลายมาเป็นกรรมการสิทธิฯ เคยกล่าวผ่านสื่อว่า การที่ตำรวจจับกุมแม่ค้ารองเท้าแตะที่มีหน้าของนายกรัฐมนตรีที่อยุธยาเมื่อเดือนตุลาคมนั้นเป็นการเหมาะสมแล้ว เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของนายกฯ ในขณะที่นายอภิสิทธิ์เองกลับมีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์การจับกุมดังกล่าว
 
ขณะเดียวกัน กรรมการสิทธิฯ อีกรายหนึ่ง คือ พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด ก็กล่าวว่าคณะกรรมการสิทธิฯ ยินดีให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนคนใดก็ตามที่ต้องการฟ้องร้องผู้ชุมนุมเสื้อแดงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชุมนุม
 
คณะกรรมการสิทธิฯ มักเงียบเฉยไม่เพียงแต่กรณีการชุมนุมประท้วงเมย.-พค.เท่านั้น ยังนิ่งเงียบต่อการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรวมถึงการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ลุกลามกว้างขวางด้วย ทั้งที่ในเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์เองก็เคยรับปากว่าจะดูแลให้มีการใช้กฎหมายนี้อย่างเหมาะสม
 
ที่ยิ่งช่วยเติมเชื้อไฟให้แก่บรรดาผู้ที่วิจารณ์คณะกรรมการสิทธิฯ ก็คือการซื้อรถเมอร์ซีเดสเบนซ์(แทนที่จะเป็นรถแคมรีเหมือนคณะกรรมการชุดก่อน)เป็นรถประจำตำแหน่งสำหรับกรรมการแต่ละคนก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2552
อนุกรรมการบางรายของคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าวว่า การเล่นการเมืองภายในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯ ส่งผลบั่นทอนการทำงานของคณะกรรมการฯ แต่ก็บอกว่าเป็นการไม่เป็นธรรมที่จะมาโทษคณะกรรมการสิทธิฯ มากเกินไปในเรื่องการจัดการกับประเด็นสิทธิการเมืองในประเทศ
 
“เราทำงานอย่างทุ่มเทใจในประเด็นอื่นๆ หลายประเด็น อย่างเช่น ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย” อนุกรรมการรายหนึ่งกล่าว
จรัญ กล่อมขุนทด นักเคลื่อนไหวจากสหพันธ์สหภาพแรงงานรถยนต์กล่าวว่า “คณะกรรมการสิทธิฯ ชุดนี้ดูไม่ค่อยกระตือรือล้นทำงานด้วยใจเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับชุดก่อน”
 
แม้ว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานจะจัดตั้งดีขึ้นกว่าเดิม ประเด็นของผู้ใช้แรงงานก็ยังไม่ได้รับความสนใจหรือไม่ก็จมหายไปในระบบราชการหรือหน่วยงานอื่นๆ เขากล่าว
 
“เราพยายามผลักดันข้อเรียกร้องของเรากับเจ้าหน้าที่แรงงานระดับจังหวัด องค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จนถึงคณะกรรมการปฏิรูปที่เพิ่งตั้งขึ้นมา การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของเราเป็นไปอย่างเชื่องช้าแทบขาดใจ หรือไม่ก็ไม่มีการตอบสนองเลย” จรัญกล่าว
 
ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิฯ มีอย่างเช่นเรื่องการจ้างแรงงานเหมาช่วง (contractual labour) ที่นำมาใช้อย่างกว้างขวางกับแรงงานในสายพานการผลิตในโรงงาน การปลดคนงาน การข่มขู่ หรือกระทั่งการสังหารผู้นำแรงงาน และปัญหาแรงงานข้ามชาติเข้ามาแย่งงานแรงงานไทยในภาคอุตสาหกรรมหลายๆ ส่วน เขากล่าว
 
ธงชัย วินิจกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินในสหรัฐฯ วิจารณ์สิ่งที่เขาเรียกว่า วิถีทางประชาธิปไตยแบบเฉื่อยเนือยของไทย กับความล้มเหลวในการปกป้องสิทธิมนุษยชน
 
“องค์ประกอบสำคัญคือระบบยุติธรรม ที่กำลังสูญเสียความชอบธรรมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสังคมกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่ความเชื่อถือไว้วางใจจะหดหายไปหมด” อดีตผู้นำนักศึกษาปี 2519 กล่าว
 
เขายกวิกฤตที่ยืดเยื้อในภาคใต้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในสังคมไทยที่เหลือ
 
“ในภาวะล้มละลายทางความเชื่อถือที่ค่อยๆ เกิดขึ้นนี้ ประเด็นสิทธิมนุษยชนและนักสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้ ความล้มเหลวของพวกเขาไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาล้มเหลวที่จะปกป้องหลักการสิทธิมนุษยชน แต่จริงๆ แล้ว พวกเขามีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้เกิดภาวะล้มละลายดังกล่าว” ธงชัยกล่าว
 
อมรา พงศาพิช ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยอมรับว่า คณะกรรมการฯ มีความระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เธอบอกว่ามีการตั้งคณะอนุกรรมการสามชุดเพื่อจัดทำรายงานที่จะมีการเผยแพร่เดือนหน้า ชุดหนึ่งมีเธอเป็นประธาน อีกสองชุดมีนายไพบูลย์และนพ.นิรันดร์เป็นประธาน รายงานหลักจะมีการเผยแพร่ในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะมีข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ทั้งกระทำโดยกองทัพ “คนชุดดำ” และคนเสื้อแดงในช่วงการชุมนุม
 
“สิ่งที่เราพบนั้นไม่ต่างจากสิ่งที่สื่อมวลชนได้รายงานไปแล้ว แต่เราคงจะไม่ชี้นิ้วกล่าวหาว่าใครผิดในแต่ละกรณี” อมรากล่าว “เราทำงานมาตลอดและยังทำงานอยู่ แม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคมากมายก็ตาม”
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งสำหรับคณะกรรมการสิทธิฯ ก็คือ การที่ยังไม่มีกฎหมายลูกที่จะให้อำนาจคณะกรรมการฯ ในการฟ้องร้องผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านรัฐสภา
 
บทบาทการทำงานที่น่าผิดหวังของคณะกรรมการสิทธิฯ น่าจะเป็นสิ่งเตือนใจสำหรับทุกคนว่า การปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความเมตตาของชนชั้นผู้ปกครอง หากแต่ต้องด้วยการต่อสู้ดิ้นรนของผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่างและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเองเท่านั้น
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท