Skip to main content
sharethis

คดีเผาศาลากลางมุกดาหารสืบพยานโจทก์นัดที่ 2 หัวหน้าฝ่ายรักษาความสงบฯ เทศบาล เบิกความ คนมาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้เจตนามุ่งร้าย เพียงทำสัญลักษณ์ เชื่อจำเลยที่ถูกจับในที่เกิดเหตุไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ส่วนหัวหน้าชุดจับกุมรับ หลักฐานภาพถ่ายที่ใช้นำจับ ไม่ปรากฏว่าจำเลยจุดไฟเผา 

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดมุกดาหารนัดสืบพยานโจทก์ในคดีเผาศาลากลางเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งพยานที่อัยการนัดมาให้การในวันนี้เป็นเจ้าหน้าที่เทศบาล 1 ปาก และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 4 ปาก โดยมีทนายจำเลย ทั้งจาก ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุมกรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) และจากพรรคเพื่อไทย ทำการซักค้าน

 
จำเลยที่ 3 กับครอบครัวที่มารอรับขณะลงจากศาล

ป้องกันฯ เทศบาลมุกดาหารเชื่อผู้ก่อเหตุไม่ใช่จำเลยที่ถูกจับกุม

นายอดุลย์ ศิริมันต์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบ เทศบาลเมืองมุกดาหาร เป็นพยานที่ขึ้นเบิกความเป็นคนแรก โดยให้การว่า ในวันเกิดเหตุ (19 พ.ค. 53) ได้รับคำสั่งให้นำรถน้ำดับเพลิงและรถน้ำไปจอดเตรียมพร้อมไว้ข้างอาคารศาลา กลาง พยานเห็นผู้ชุมนุมกองยางและจุดไฟเผาอยู่หน้าประตูรั้ว ดูแล้วไม่มีเจตนามุ่งร้าย เพียงแต่ทำเป็นสัญลักษณ์ ต่อมา ผู้ชุมนุมลำเลียงยางเข้ามาหน้าอาคารศาลากลางหลังเก่าโดยไม่มีท่าทีก้าวร้าว ต่อเจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุมด้วยกัน รวมทั้งแกนนำได้ห้ามปรามไม่ให้จุดไฟเผา ผู้ชุมนุมก็ฟังแต่โดยดี เมื่อมีการมาปล่อยน้ำ ปล่อยยางรถดับเพลิง พยานเข้าไปห้าม ผู้ชุมนุมก็ฟัง แต่ภายหลัง มีผู้ชุมนุมจำนวนมากฮือเข้ามา พยานห้ามไม่ไหว รถดับเพลิงและรถน้ำจึงถูกปล่อยน้ำ ปล่อยลมยางจนหมด และใช้การไม่ได้ เมื่อไฟลุกไหม้อาคาร ได้มีการขอกำลังรถดับเพลิงจากหน่วยงานอื่นเข้ามา แต่รถไม่สามารถเข้าในบริเวณอาคารได้เนื่องจากผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก แต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนเข้าไปดับไฟ และกลิ้งยางติดไฟออกมาเพื่อไม่ให้ไฟไหม้อาคาร พยานคิดว่าผู้ที่ก่อเหตุน่าจะเป็นคนที่ใช้ผ้าปิดหน้า ซึ่งเมื่ออาคารลุกไหม้แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้หนีออกไป เมื่อมีการสลายการชุมนุม จึงเชื่อว่าคนที่ถูกจับไม่ใช่ผู้ที่ก่อเหตุ

 

ตำรวจยันตอนเผาคนเสื้อแดงช่วยดับไฟ แต่คนสุมยางปิดหน้า ส่วนที่จับเพราะเห็นเป็นวัยรุ่น

พยานที่ขึ้นเบิกความคนที่ 2 คือ ด.ต.ธีรพงศ์ กนึกรัตน์ ประจำอยู่ สภ.ต.ป่าไร่ อ.ดอนตาล ในวันเกิดเหตุได้รับมอบหมายให้มาดูแลการชุมนุม พยานจำไม่ได้ว่าใครจุดไฟเผา เมื่อสลายการชุมนุมตอนประมาณ 15.00 น. พยานไม่ได้วิ่งไล่จับผู้ชุมนุมเนื่องจากขาเจ็บ แต่ได้ตามไปควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ซึ่งตำรวจคนอื่นจับได้แล้ว พยานจึงไม่รู้ว่าจำเลยถูกจับได้ที่ไหน ไม่รู้ด้วยว่าเป็นผู้มาชุมนุมหรือผู้สังเกตการณ์ แต่ขณะที่พยานเข้าควบคุมตัว จำเลยไม่ได้ปิดหน้า หรือมีอุปกรณ์ในการเผาทำลาย

ด.ต.ภาคภูมิ หมื่นราชา จาก สภ.อ.นิคมคำสร้อย ขึ้นเบิกความคนที่ 3 พยานได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนในวันเกิดเหตุ ตั้งแต่เช้า การชุมนุมเป็นไปโดยปกติไม่มีเหตุรุนแรง แต่ตำรวจเริ่มควบคุมไม่ได้เมื่อมีข่าวการปราบที่ราชประสงค์ ประมาณเที่ยง พยานเห็นผู้ชุมนุมกลิ้งยางใส่น้ำมันเข้าในอาคารศาลากลางหลังที่ 1 แต่ จำหน้าไม่ได้เพราะมีการปิดหน้า แล้วก็มีผู้ชุมนุมที่ใส่เสื้อสีแดงและสีอื่นๆ ช่วยดับไฟ เมื่อมีคำสั่งให้สลายผู้ชุมนุมประมาณบ่ายสาม พยานและเพื่อนตำรวจได้วิ่งไล่ผู้ชุมนุมออกมา และมาจับได้ที่นอกรั้วศาลากลาง 3 คน พยานรับว่าคนที่พยานจับได้พยานไม่เห็นว่าเป็นคนเผา แต่จับเพราะเห็นเป็นวัยรุ่น

 

ตำรวจรับที่จับเพราะเห็นบางคนมาส่งยาง แต่ไม่มีรูปว่าจำเลยเผา

พยานปากที่ 4 พ.ต.ท.สัญญา แสงทอง หัวหน้าชุดเฉพาะกิจตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร ในวันเกิดเหตุมีหน้าที่บันทึกภาพ และหาข่าว พยานเห็นสามล้อเครื่องบรรทุกยางเก่ามากองไว้ที่หน้าศาลากลาง จำหน้าคนขับได้ 2 คน เนื่องจากรู้จักกัน แต่เห็นว่ามาส่งยางรอบเดียวก็กลับไป ไม่ได้ร่วมชุมนุม ขณะไฟลุกไหม้และสลายการชุมนุมก็ไม่พบว่าทั้งสองอยู่ด้วย ต่อมา หลังเหตุการณ์ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดในการเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามที่มีการออกหมาย จับ ได้ทำการจับกุมคนทั้งสอง รวมทั้งจำเลยอื่นๆ อีก รวม 8 คน พยานรับว่า จำเลยที่ถูกจับมา พยานไม่เห็นว่าเป็นคนเผา เพียงแต่ดูจากภาพนิ่งที่ถ่ายไว้ และภาพดังกล่าวก็ไม่ได้ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดจุดไฟเผา

พ.ต.ท.ธีรพล มนต์ดี สวป.สภ.เมืองมุกดาหาร ขึ้นเบิกความเป็นปากสุดท้าย ให้การว่า วันเกิดเหตุได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุว่ามีคนเสื้อแดงมาชุมนุมและเผายางหน้า ศาลากลาง จึงมาสังเกตการณ์ในชุดนอกเครื่องแบบ เห็นผู้ชุมนุมกลิ้งยางมากองไว้ที่หน้ามุขของอาคาร พยานเห็นจำเลยคนหนึ่งในที่เกิดเหตุด้วย แต่ไม่เห็นทำอะไร นอกจากเดินไปเดินมา และพยานไม่เห็นว่าใครจุดไฟเผา เนื่องจากออกมาทานอาหารในขณะที่อาคารเกิดไฟลุกไหม้

เวลา 16.30 น. พยานทั้ง 5 ปากเบิกความเสร็จสิ้นลง ศาลมีคำสั่งนัดสืบพยานโจทก์ครั้งต่อไปวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554

ในการสืบพยานในครั้งนี้ ทนายจาก ศปช.ได้ร้องขอให้ญาติเข้ารับฟังด้วย โดยศาลมีคำสั่งอนุญาตตามที่ทนายร้องขอ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net