Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
บังเอิญเพื่อนส่งลิงค์เฟซบุ๊คข้อเขียนของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มาให้อ่าน ชื่อ จตุรัส ฉบับสัมภาษณ์ประวัติศาสตร์ กิตติวุฑฺโฒ ภิกขุ: ฆ่าคอมมิวนิสต์ได้บุญมากกว่าบาป (บางทีจะช่วย เตือนสติ ในด้านกลับได้ในตอนนี้) [1] อ.สมศักดิ์ ได้ลิงค์หน้าปก จตุสรัส (ปีที่ 2 ฉบับที่ 51 วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2519) และส่วนของคำสัมภาษณ์ที่มีเนื้อหาเรื่องการฆ่าคอมมิวนิสต์ ได้บุญมากกว่า บาป (ตอนหนึ่ง) ดังนี้
 
จตุรัส: แล้วที่มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน ๓,๐๐๐ กว่าคนในกรณีถังแดงที่พัทลุง ท่านคิดว่าจริงไหม
 
กิตฺติวุฑฺโฒ: อันนั้นเรื่องโกหกทั้งเพ ไม่จริง คือฝ่ายหนึ่งต้องการปลุกระดมประชาชนทำให้ประชาชนเคียดแค้น
 
จตุรัส: การฆ่าฝ่ายซ้าย หรือ คอมมิวนิสต์ บาปไหม
 
กิตฺติวุฑฺโฒ: อัน นั้นอาตมาก็เห็นว่าควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ชื่อว่าถือเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจ (ว่า) เราไม่ได้ฆ่าคนแต่ฆ่ามารซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
 
จากเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้มีการขึ้นปกจัตุรัส กิตติวุฑฺโฒ ภิกขุ: ฆ่าคอมมิวนิสต์ได้บุญมากกว่าบาป และต่อมาเรามักได้ยินการอ้างอิงวาทกรรมดังกล่าวนี้ว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
 
อันที่จริงการอ้างอิงพุทธศาสนาเพื่อสนับสนุนความรุนแรงโดยรัฐ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เช่น ใน เทศนาเสือป่า ของ ร. 6 ตอนหนึ่งว่า
 
การ รบเพื่อป้องกันชาติบ้านเมืองไม่เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามปรามเลย ถ้าทรงห้ามปรามหรือแม้ไม่ทรงไม่ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว ที่ไหนเลยจะทรงบังคับให้ทหารที่หนีจากกองทัพพระเจ้าพิมพิสารเข้าไปอุปสมบท นั้น สึกออกไปเข้ารับราชการในกองทัพตามเดิม [2]
 
หรือ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า) ทรงเทศนาสนับสนุนรัฐบาลที่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในคราวสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยตรัสว่า เป็นการ อุปถัมภ์ธรรมในระวางมิตร สอดคล้องกับพุทธภาษิตที่ว่า เมื่อระลึกถึงธรรม ถึงคราวเข้า ทรัพย์ อวัยวะ แม้ชีวิต ก็ควรสละเสียทั้งนั้น [3]
 
แต่ แม้จะมีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ยืนยันเช่นนี้ สังคมไทยยังพยายามหลอกตัวเองว่า พระสงฆ์ไทยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อยู่เหนือการเมือง หรือ ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง (ซึ่งไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร)
 
ซึ่ง ตามข้อเท็จจริงแล้ว โครงสร้างองค์กรสงฆ์ตั้งแต่มีระบบสมศักดิ์เป็นต้นมาพระสงฆ์ไทยก็มีรูปแบบการ ปกครองภายใต้อำนาจรัฐอยู่แล้ว และต้องตอบสนองต่อการเมืองของรัฐหรือผู้มีอำนาจรัฐอยู่แล้ว ภายในวงการคณะสงฆ์เองก็มีการเมืองเรื่องวิ่งเต้นสมณศักดิ์อยู่จริงตั้งแต่ อดีตจวบปัจจุบัน มิหนำซ้ำในสมัยศักดินายังมีพระสงฆ์บางรูปวิ่งเต้นเรื่องสึกออกไปรับราชการ กับขุนนางต่างๆ ด้วย
 
เชื่อไหมครับ แม้แต่ปัจจุบัน อาชีพรับราชการ สำหรับเปรียญลาพรตนั้นมีน้อยมาก คือตรงๆ เลยมีเพียงตำแหน่ง อนุศาสนาจารย์ ทหารบก เรือ อากาศ เท่านั้น แต่พระสงฆ์สมัยนี้ก็ยังมีการวิ่งเต้นเพื่อสึกไปรับราชการในตำแหน่งดังกล่าวอยู่จริง!
 
ที่ขำไม่ออกคือ เวลาที่โฆษณาชวนเชื่อกันว่า พระสงฆ์ไทยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือเป็นกลางทางการเมืองนั้น โฆษณากันราวกับว่า พระสงฆ์ไทยบริสุทธิ์สะอาด ไม่แปดเปื้อนกับ สิ่งสกปรก คือ การเมือง เลยฉะนั้น
 
แต่ ถามว่า พระสงฆ์ไทยที่ (อวดอ้างกันว่า) บริสุทธิ์สะอาดจากการเมืองสามารถสร้างพลังทางปัญญาในเรื่องจิตวิญญาณและ สันติภาพของมนุษยชาติได้ดีเทียบเท่ากับพระสงฆ์ธิเบตที่อยู่กับการเมืองหรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการเมืองหรือไม่?
 
องค์ ทะไลลามะนั้น เป็นทั้งประมุขสงฆ์และผู้นำรัฐบาลพลัดถิ่น แต่งานเขียน บทสนทนา คำปราศรัย การกล่าวสุนทรพจน์ ฯลฯ ของพระองค์สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความหลุดพ้น และจิตวิญญาณที่รักสันติภาพอย่างลึกซึ้ง จนทำให้พระองค์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
 
แม้ แต่ท่านติช นัท ฮันห์ พระภิกษุในพุทธศาสนานิกายเซ็น ชาวเวียดนาม ก็เคยต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธีเมื่อครั้งสงครามอินโดจีน ถึงวันนี้ท่านก็ยังยืนยันจุดยืนเรื่องอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ความเข้าใจ ความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ สันติภาพภายในและสันติภาพของโลก
 
มีแต่พระสงฆ์ไทยที่อ้างว่าบริสุทธิ์จากการเมืองเท่านั้น ที่อ้างหลักการพุทธศาสนา อย่างทุจริต เพื่อสนับสนุนสงคราม สนับสนุนการมองเพื่อมนุษย์ที่มีอุดมการณ์ต่างกันว่าพวกเขาไม่ใช่คนแต่เป็น มารการ ฆ่ามารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ฆ่าแล้วได้บุญมากกว่าบาป เหมือนฆ่าปลามาทำอาหารถวายพระ การฆ่าปลาเป็นบาป แต่ฆ่าเพื่อทำบุญกับพระได้บุญมากกว่า (นี่คือเหตุผลที่เห็นแก่ตัวสุดๆ!!!)
 
แล้วในยุคเราเป็นอย่างไร ผู้เคร่งศาสนา ไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างสมณะสันติอโศกกลับมาร่วมชุมนุมทางการเมืองสนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนการใช้กฎอัยการศึกปราบคนเสื้อแดง สนับสนุนการรบระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมี พระอริยะ ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสอย่างสมณะโพธิรักษ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองเป็นแกนนำหลัก
 
พวกเขากล่าวอ้าง อหิงสา-สันติ แต่รัฐประหาร กฎอัยการศึก การแสดงแสนยานุภาพทางทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการรบคือความรุนแรงอย่างยิ่ง และเป็นความรุนแรงที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน!
 
พวก เขาอ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ปฏิเสธการเลือกตั้ง ปฏิเสธเสรีภาพในการปกครองตนเองของประชาชน และเล่นกลเกมทุกอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐโดยไม่ต้องมีการ เลือกตั้ง
 
แต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อไหมครับ สนธิกับสันติอโศกผสมพันธุ์กับเป็น พันธมิตร... กลายเป็น ม็อบมีเส้น ที่ใครๆ ก็เกรงใจ พระสงฆ์ไทยก็เกรงใจ ไม่เคยวิพากษ์เลยว่าการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวอโศกในนามของพุทธศาสนานั้นเป็นไปเพื่อ อหิงสา-สันติ หรือเป็นไปเพื่อสร้างความเกลียดชัง และการใช้ความรุนแรงแก่เพื่อนมนุษย์ที่มีความเห็นต่าง
 
สื่อและนักวิชาการก็ยังเกรงใจ ม็อบมีเส้น ไม่ตั้งคำถามว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพวกเขาเหล่านั้นทำลาย ประชาธิปไตยอย่างไร สร้างความบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร อหิงสา-สันติที่พวกเขาพยายามสร้างภาพได้นำไปสู่ความรุนแรงอย่างไร
 
นัก วิชาการ สื่อ ชนชั้นกลางในเมือง ชาวพุทธทนดูคนพวกนี้เอาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาเล่มเกมอำนาจจนเกิดความรุนแรงภายในประเทศ และเกิดความรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ได้อย่างไร?!!!
 
 
 
เชิงอรรถ
 
[1]  http://www.facebook.com/note.php?note_id=178264312216806&id=100001298657012
[2]  พระไพศาล วิสาโล.พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต.(กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์,2546),หน้า 36.
[3]  เรื่องเดียวกัน,หน้า 36.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net