Skip to main content
sharethis

กษัตริย์บาห์เรนประกาศภาวะฉุกเฉิน 3 เดือน โดยต่อมาเกิดการปะทะเดือด ดับ 2 บาดเจ็บอีก 200 ด้านซาอุดีอาระเบียและชาติแถบอ่าวเปอร์เซีย ส่งทหารกว่า 1,000 นาย เข้าไปยังบาห์เรน เพื่อช่วยรัฐบาลบาห์เรน ปราบกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาล

(16 มี.ค.54) กองทัพบาห์เรนและกองกำลังรักษาความมั่นคง เปิดฉากปะทะและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ต่อต้านรัฐบาลหลายร้อยคนที่ร่วมชุมนุม บริเวณจัตุรัสเพิร์ล ใจกลางกรุงมานามา ขณะที่เสียงปืนยังคงได้ยินเป็นระยะ และเกิดกลุ่มควันสีดำขึ้นบริเวณจัตุรัส

สำหรับทางการบาห์เรนแล้ว การกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงถือเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านการประท้วงของรัฐบาล มากกว่าจะเป็นกลยุทธิ์แห่งชัยชนะ ขณะที่กลุ่มต่อต้านยังคงสามารถระดมกำลังและแสดงการต่อต้านรัฐบาลได้ต่อไป

สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัลคอลิฟะห์ ของบาห์เรน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อรับมือกับการประท้วงและสถานการณ์ความไม่สงบซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศใน ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยภายหลังการประกาศได้เกิดเหตุปะทะลุกลามไปทั่วประเทศ ซึ่งทำให้พลเรือนเสียชีวิต 2 ราย และพบผู้บาดเจ็บกว่า 200 คนขณะที่ทางการซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า ทหารเสียชีวิต 1 นาย

รัฐบาลบาห์เรนมอบอำนาจให้แก่ผู้บัญชาการกองทัพในการปราบปรามและรับมือการ ประท้วงของชาวมุสลิมชีอะห์ ที่ก่อเหตุประท้วงรัฐบาลรวมถึงราชวงศ์ที่ปกครองโดยชาวมุสลิมสุหนี่ และเกิดการปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจปราบจลาจลหลายครั้งในช่วงหลัง รวมถึงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ซาอุดีอาระเบีย และชาติแถบอ่าวเปอร์เซีย ได้ส่งทหารจำนวนกว่า 1,000 นาย เข้าไปยังบาห์เรนเมื่อวันจันทร์ (14 มี.ค.) เพื่อช่วยรัฐบาลบาห์เรน ปราบกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการส่งกองทัพข้ามแดนครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในเขตอาหรับ ในระหว่างที่เกิดเหตุความวุ่นวายทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้สหประชาชาติ หรือยูเอ็น และสหรัฐออกมาเตือนเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว

โดยกองทัพทหารต่างชาติจากสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (จีซีซี) ประกอบด้วย ซาอุดิอาระเบีย, โอมาน, คูเวต, บาห์เรน, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่ทางการซาอุดิอาระเบีย ได้เพิกถอนหัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ซึ่งประจำการอยู่ที่นั่น โดยกล่าวโทษต่อรายงานข่าวการประท้วงที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ขณะที่รอยเตอร์ยังคงยืนยันข้อมูลตามรายงานข่าว

อิหร่านได้กล่าวประณามต่อการแทรกแซงทางการทหารของชาติอาหรับ ว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และกล่าวทำนายว่า นั่นจะยิ่งทำให้วิกฤติการณ์ทางการเมืองในซาอุฯยุ่งยากยิ่งขึ้น

รัฐบาลซาอุฯ แถลงว่า ได้สนองตอบข้อเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่กองกำลังร่วมป้องกันคาบสมุทรของประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งนำโดยซาอุฯ ก็ได้ข้ามเข้าไปยังบาห์เรนแล้ว ซาอุฯระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวเอสพีเอว่า สภารัฐมนตรียืนยันว่า ได้สนองตอบคำร้องขอของบาห์เรนให้ช่วยสนับสนุน ซึ่งภายใต้ข้อตกลงของสภาความร่วมมือในอ่าวเปอร์เซีย 6 ชาติ หรือจีซีซี ระบุว่า อันตรายใด ๆ ที่จะพึงเกิดขึ้นกับความมั่นคงของประเทศสมาชิก ให้ถือเสมือนเกิดขึ้นกับประเทศสมาชิกทั้งหมด

นอกจากนี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ส่งทหารตำรวจประมาณ 500 นายเพื่อช่วยคลี่คลายความตึงเครียดในบาห์เรน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า สมาชิกจีซีซีอื่น ๆ เช่น คูเวต โอมานและกาตาร์ เข้าร่วมด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ บาห์เรนยังได้ร้องขอไปยังมิตรประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย ให้ส่งกองกำลังเข้ามาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศด้วย

ด้านนายฟาร์ฮาน ฮัค โฆษกยูเอ็น กล่าวว่า นายบัน คี-มูน เลขาธิการยูเอ็น รู้สึกกังวลใจกับการที่ซาอุฯและยูเออี ส่งกำลังทหารเข้าไปในบาห์เรน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจในระดับสูงสุด และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อป้องกันการใช้กำลังและความรุนแรง ขณะที่ นายเจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว เรียกร้องให้กองกำลังประเทศอ่าวเปอร์เซีย เคารพสิทธิของประชาชนในบาห์เรน

 

ที่มา: เว็บไซต์มติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net