กรณีแม่ชีทศพร : ว่าด้วยการผูกขาดครอบงำทางวัฒนธรรม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วีดีโอ “แก้กรรม” ของแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ หรือแม่ชีใหญ่ซึ่งเผยแพร่ในเวปไซต์ยูทูปได้กลายมาเป็นประเด็นการถกเถียงที่ ร้อนแรงประเด็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค จนทำให้เกิดแฟนเพจล้อเลียนแม่ชีทศพรชื่อว่า “แม่ชี นะลูกนะ” ซึ่งมีสมาชิกจำนวนกว่าพันคน

เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา คำ ผกา นักคิดนักเขียนชื่อดังได้หยิบประเด็นการแก้กรรมของแม่ชีทศพรมาวิเคราะห์และ วิพากษ์ในรายการ “คิดเล่นเห็นต่าง กับ คำ ผกา” ซึ่งเผยแพร่เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ทางช่องเคเบิลทีวี Voice TV (ดูวีดีโอย้อนหลังได้ที่ http://shows.voicetv.co.th/kid-len-hen-tang/7900.html)

และล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เดินทางไปวัดพิชยญาติการาม เพื่อขอเข้าพบพระพรหมโมลี เจ้าอาวาสและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และได้พบกับแม่ชีทศพร จึงได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303911878&grpid=&catid=19&subcatid=1904) ในเย็นวันเดียวกันนี้เอง รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่วง “สรยุทธ์ เจาะข่าวเด่น” รมว.วธ. ได้รับเชิญมาชี้แจ้งท่าทีของกระทรวงวัฒนธรรมต่อกรณี “แก้กรรมแบบพิศดาร” (ดูวีดีโอย้อนหลังได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=GJK1xMtti-s&feature=player_embedded#at=634) จนนำมาซึ่งการกดดันและการใช้มาตรการต่างๆ (ทั้งโดยตรงผ่านกฎหมายและโดยอ้อมผ่านผู้บังคับบังชา) เพื่อจัดการกับแม่ชีทศพรโดยศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1303999145&grpid=00&catid=&subcatid=)

การผูกขาดครอบงำทางวัฒนธรรมผ่านกลไกอำนาจรัฐ

ปรากฏการณ์วิวาทะแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่สังคมเสมือนจริงไปจนถึงพื้นที่สื่อสารมวลชนนี้ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจต่อพัฒนาการทางความคิดของสังคมไทย เพราะแสดงให้เห็นถึงการเริ่มเปิดกว้างสู่การวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นอ่อนไหว ทั้งหลายในสังคม (ในกรณีนี้คือ ความเชื่อทางศาสนา) เห็นได้จากข้อเสนอของ คำ ผกา ในตอนท้ายรายการที่ชักชวนให้ผู้ชมเห็นต่างและร่วมถกเถียง โดยเน้นย้ำว่าการวิพากษ์ของเธอไม่ได้ต้องการตัดสินคุณค่าดี/เลวให้กับความ เชื่อเรื่องสแกนกรรม แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงที่มาที่ไปของ “กรอบคิด” ซึ่งแฝงอยู่เบื้องหลังการแก้กรรมของแม่ชี อันเต็มไปด้วยอคติทางเพศและมายาคติทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ถึงที่สุดแล้ว การสแกนกรรมของแม่ชีนับเป็นกรณีตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการผูกขาดองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมผ่านกระบวนการกล่อมเกลา และปลูกฝังโดยระบบการศึกษาและจารีตประเพณีของทางการมาเป็นเวลาเนิ่นนาน

อาจกล่าวได้ว่า “วัฒนธรรมแห่งการวิพากษ์” ที่เกิดขึ้นจาก “กรณีแม่ชีทศพร” นี้เป็นสิ่งที่สังคมต้องการอย่างมากในยุคเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะสังสรรค์ของความคิดความเชื่อหลักของคนใน สังคม อันจะนำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์อย่างถอนรากถอนโคนในไม่ช้า อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี การแสดงบทบาทและท่าที ตลอดจนการทยอยออกมาตรการต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม ผ่านรัฐมนตรีเจ้าประจำกระทรวงและศูนย์เฝ้าจับระวังทางวัฒนธรรมนั้นสวนทางกับ วัฒนธรรมแห่งการวิพากษ์นี้อย่างมีนัยสำคัญ

ดังที่ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) ได้กล่าวในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ว่า “เราต้องกลับไปที่หลักของพระพุทธศาสนา เรารู้ว่ามนุษย์สามารถแยกแยะความผิดความถูกได้ ความดีความเลวได้ ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นหลักศาสนาพุทธบอกว่าเป็นความชั่ว เป็นอกุศลกรรมก็อย่าไปทำ แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความดี เราก็ต้องทำดียิ่งๆ ขึ้นไป หลักมันอยู่ตรงนั้นเอง”

โดยการอ้าง “หลักที่แท้จริงของศาสนา” รมว.วธ. ได้สถาปนาหน่วยงานของตนเป็นผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตีความศาสนาพุทธ และในขณะเดียวกัน ในฐานะหน่วยงานของรัฐ กระทรวงวัฒนธรรมได้ใช้กลไกอำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือ “เซ็นเซอร์” บุคคลใดๆ ที่แสดงออกซึ่งรสนิยมและแนวทางความเชื่อที่แตกต่างไปจากการตีความศาสนาของตน ด้วยวิธีการเผด็จการนิยม ไม่ว่าจะเป็นการชงเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งล่าสุดได้ถอดถอนวีดีโอในยูทูปทั้งหมด และข่มขู่จะดำเนินการกับผู้ที่ทำการเผยแพร่คลิปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือการใช้วิธีการ “มาเฟีย” คุกคามสถานะของแม่ชีทศพรผ่านผู้บังคับบังชาคือพระพรหมโมลีเจ้าอาวาสนั่นเอง

นอกจากนี้ โดยยังไม่ต้องเข้าไปถกเถียงประเด็นการตีความ “พุทธปรัชญา” เป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า การอุปโลกน์ “ความดี/เลว” ให้เป็น “หลักของพระพุทธศาสนา” ตามความเข้าใจของ รมว.วธ. นี้ แท้จริงกำลังจะสับสนระหว่าง “หลักพุทธศาสนา” (หรือพุทธปรัชญา ซึ่งเป็นแนวทางสู่ “อิสรภาพ” ทางจิตวิญญาณ) กับ “หลักศีลธรรม” (ซึ่งเป็น “กฎเกณฑ์” แนวปฏิบัติทางโลกอันเกิดขึ้นจากฉันทามติของคนในสังคมเดียวกัน) เสียด้วยซ้ำ

เนื้อหาและแนวทางของแม่ชีนั้นดีไม่ดี ถูกผิด เหมาะสมหรือไม่อย่างไร คงจะเป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องร่วมกันพูดคุยถกเถียง (ต้องไม่ลืมว่าแม่ชีเองก็มีลูกศิษย์ลูกหาหลายพันคน) และกระทรวงวัฒนธรรมก็มีความชอบธรรมในการที่จะออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีของตน ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการ “อำนาจนิยม” ที่กำลังทำอยู่ ซึ่งมุ่งยืนยัน “อำนาจ” ของตนเองผ่าน “บทลงโทษ” มากกว่าจะเปิดกว้างสู่ “วัฒนธรรมการวิพากษ์” เพื่อสร้างปัญญาให้กับสังคมอย่างแท้จริง

นี่สะท้อนปัญหาในเชิงกรอบคิดอันเป็นปัญหาเรื้อรังของกระทรวงนี้ กรอบคิดแบบ “ผูกขาดครอบงำเชิงวัฒนธรรม” (cultural hegemony) ได้ถูกสถาปนาให้เป็น “อัตลักษณ์” ประจำกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งทึกทักเอาเองว่าการมีอยู่ของตนไม่สามารถแยกออกจาก การ “เฝ้าระวัง” และ “ลงโทษ” ได้

เราต้องการสังคมแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ สังคมที่จะเปิดพื้นที่ให้กว้างมากพอสำหรับการต่อรองและการแสดงออกถึงความแตก ต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆ ไม่ใช่สังคมที่ถูกกำกับโดยองค์กรซึ่งมีแนวคิดฟาสชิสต์ ในนามของ “ความถูกต้อง” หรือ “ความบริสุทธิ์ดีงาม” ทางวัฒนธรรม เพราะแม้แต่ความถูกต้องดีงามที่ถูกสถาปนาเป็นแนวคิดหลักนั้นก็ต้องถูกตรวจ สอบและสอบทานได้

และถึงที่สุดแล้ว อาจไม่ใช่แม่ชีทศพรหรือสแกนกรรมใดๆ ที่เป็นภัยอย่างแท้จริงต่อความมั่นคงของพุทธศาสนา (เพราะพุทธศาสนาแบบทางการดำเนินอยู่ควบคู่ไปกับพุทธศาสนาแบบชาวบ้านมา ตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว) หากแต่เป็นกระบวนการครอบงำทางวัฒนธรรมที่มีหัวขบวนเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่เฉก เช่นกระทรวงวัฒนธรรมต่างหาก เพราะสิ่งที่ท่านทำคือ การปิดกั้นกดทับผู้คนในสังคมไม่ให้พวกเขาได้มี “อิสรภาพ” และ “พื้นที่” ในการแสดงออกซึ่งความเชื่อและความต้องการทางจิตวิญญาณที่หลากหลาย

ผู้หญิงกับพุทธศาสนาของไทย : เมื่อผู้หญิงไม่เคยมีพื้นที่ยืน
ในยุคกลางของยุโรป ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้สถาปนาตนเองเป็น “สถาบัน” (Establishment) ที่มีอำนาจและสถานะทางสังคมการเมืองที่มั่นคงและเบ็ดเสร็จ ประวัติศาสตร์ได้จารึก “กระบวนการล่าพวกนอกรีต” (Inquisition) ซึ่งกระทำโดยพระสงฆ์และคริสต์ศาสนิกชนในนามของความบริสุทธิ์ดีงามของศาสนา และหนึ่งในกลุ่มนอกรีตคือ กลุ่มผู้หญิงซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น “แม่มด”

หากพิจารณาขบวนการแม่มดที่เกิดขึ้นในยุโรปนี้ด้วยมุมมองใหม่ทางประวัติ ศาสตร์ผนวกกับองค์ความรู้สายสตรีนิยม เราสามารถตีความได้ว่า ในแง่หนึ่ง การมีอยู่ของ “แม่มดหญิง” นี้เป็นความพยายามในการต่อรองกับ “อำนาจ” (ของศาสนจักรและศิลปวิทยาการ ซึ่งก็คือ “องค์ความรู้” ทั้งหลายของมนุษย์) ซึ่งถูกผูกขาดเรื่อยมาโดย “ผู้ชาย” การตั้งชื่อในแง่ลบให้กับกลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ว่าเป็น “แม่มด” ตลอดจนการยัดเยียดข้อกล่าวหา “นอกรีต” ก็แสดงให้เห็นถึงกระบวนการที่ “สถาบัน” (ผ่านอำนาจชายเป็นใหญ่) จัดการกับการต่อสู้เพื่อจะมี “ที่ยืน” ในสังคมของกลุ่มคนชายขอบไร้อำนาจซึ่งคือ ผู้หญิง

ในแง่นี้ การ “เตือนสติสังคม” ของกระทรวงวัฒนธรรมโดยการผูกขาด “ความถูกต้อง” ของการตีความทางศาสนานี้เป็นการกระทำที่รุนแรงภายใต้กรอบความคิดผู้ชายเป็น ใหญ่ ในสังคมที่อำนาจและองค์ความรู้ถูกผูกขาดเรื่อยมาโดยผู้ชาย

การปกป้องศาสนาถูก “เลือกปฏิบัติ” กับแม่ชีทศพร (ซึ่งไม่มีสถานะใดๆ เนื่องจากความเป็นแม่ชีไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสังคมหรือจาก องค์กรสงฆ์ไทย ไม่ใช่นักบวช เป็นเพียงแค่ฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวที่ถือศีล 8 ธรรมดา) ในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมไม่เคยมีความจริงใจใดๆที่จะตรวจสอบพระสงฆ์องค์คณะ ที่มีพฤติกรรมการสอนเข้าข่าย “เบี่ยงเบน” (หากวัดจากบรรทัดฐานทางศีลธรรมของรมว.กธ.) อย่างสำนักธรรมกายหรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ในการกำกับดูแลของมหาเถรสมาคมเองก็ ตาม

ใช่, วิธีคิดและชุดคำสอนของแม่ชีมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่การเกิดขึ้นและมีอยู่ของแม่ชีเป็นผลพวงจากส่วนเกิน (excess) ที่สังคมนี้ผลิตขึ้นมาเอง ผ่านกระบวนการครอบงำและกดขี่ทางวัฒนธรรมที่ดำเนินมาช้านานซึ่งไม่เคยมี “พื้นที่” ให้กับผู้หญิงอย่างจริงจัง

เพราะ ในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทย มีผู้หญิงเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สามารถมีพื้นที่ยืนอยู่ได้ คือผู้หญิงอย่างแม่ชีศันสนีย์ที่ต้องอ่อนน้อมสยมยอมต่อระบอบชายเป็นใหญ่ หรือฆราวาสหญิงทั้งหลายซึ่งเป็นได้เพียงแค่อุบาสิกาผู้ค้ำจุนทำนุบำรุงศาสนา แต่ “ผู้หญิง” ในฐานะปัจเจกที่มีความเป็นเอกเทศและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะสามารถ เข้าถึงนิพพานได้ดังเช่นผู้ชายนั้น พุทธศาสนาไทยไม่เคยรับรองพื้นที่ให้กับพวกเธออย่างเป็นทางการและอย่างเท่า เทียม

ลูกศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงของแม่ชีอาจไม่ “หลุดพ้น” แต่ภายใต้สถานภาพของผู้หญิงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ แม่ชีได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์เฉพาะหน้าของพวกเธอ

ใช่, การตีความพุทธศาสนาและรูปแบบการนำเสนอของแม่ชีอาจหมิ่นเหม่และล่วงละเมิดไม้ บรรทัดทางศีลธรรมของกระทรวงวัฒนธรรม แต่แม่ชีทศพรไม่ใช่อาชญากรของรัฐที่จะทำลายความสงบสุขของสังคมไทยดังเช่นที่ รมว.วธ.กล่าวอ้าง

ดังนั้น กรณีแม่ชีทศพรนี้จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจและท้าทายต่อสติและวุฒิภาวะของสังคม เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่ของการปะทะต่อสู้ระหว่างความเชื่อแบบทางการกับความ เชื่อแบบชาวบ้านแล้ว ในภาพที่กว้างออกไป กรณีนี้ยังชี้ให้เราเห็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนว่าด้วยความไม่เท่าเทียมทาง เพศในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทยอีกด้วย !

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท