Skip to main content
sharethis

“ท่านจันทร์” สันติอโศก เสนอแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หันหามนุษยชาตินิยม แทนชาตินิยม ยุติยึดติดตัวกูของกู ด้านเยาวชนกัมพูชาเผยประชาชนกัมพูชาเจ็บแค้นจากสงคราม ระบุกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้องใช้เวลานาน วันที่ 17 พ.ค. 2554 เครือยข่ายคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชน จัดการเสวนาในหัวข้อ ประชาชนกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ที่วัดใหม่ไทรงาม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยจอม เพชร ประดับ ดำเนินรายการ โสเทวี ตัวแทนเยาวชนจากกัมพูชา กล่าวว่ารู้สึกเสียมจที่สิ่งทีเกิดขึ้น คนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่รู้ว่าใครได้ประโยชน์ แต่ชาวบ้านเสียชรวิต พลัดพรากจากครอบครัว เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้น เพราะการก่อสร้างชาติก็ต้องใช้เวลานาน ชาวกัมพูชาก็ผ่านสงครามมายาวนาน เมื่อต้องเผชิญกับสงครามอีกก็โกรธแค้น เพราะกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้องใช้เวลานาน พระครูวิสุทธิธรรมกิจ เจ้าอาวสาวัดใหม่ไทรทอง กล่าวว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น คนที่เดือดร้อนคือคนชายแดน แม้ว่าชาวบ้านระหว่างสองประเทศจะเข้าใจกันดี แต่ผู้นำประเทศไม่เข้าใจ เขาพระวิหารเป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ย่าตายาย แต่ลูกหลานได้รับมรดกมาแล้วมาทะเลาะกัน พระครูวิสุทธิธรรมกิจ เสนอว่าปัญหาเขาพระวิหารนั้นอาจแก้ได้โดย ต่างฝ่ายต่างเก็บภาษี หากเดินทางขึ้นเขาพระวิหารจากฝั่งไทย ก็จ่ายภาษีให้ฝั่งไทย ถ้าขึ้นจากฝั่งกัมพูชาก็จ่ายภาษีให้ฝั่งกัมพูชา เพราะว่าพระวิหารนั้นเป็นทรัพย์สมบัติของโลกนี้เท่านั้น มนุษย์ตายแล้ว ย่อมไม่สามารถพาไปด้วยได้ “ไม่เกินร้อยปี เราก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วมาทะเลาะเบาะแว้ง ลูกเล็กเด็กแดงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นความทุกข์ เราหลงทางที่ต่างคิดจะกอบโกยเอาสมบัติในแผ่นดินนี้ไปให้หมด” พระครูวิสุทธิธรรมกิจกล่าวด้วยว่า ไทยและกัมพูชาเหมือนคนบ้านติดกัน ถ้าคุยให้เข้าใจก็มีความสุข ประชาชนคงต้องเริ่มคุยกันก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้นำจะได้ยินข้อเสนอนี้หรือไม่เพราะต่างหูหนวกตาบอด ท่านจันทร์ จากสันติอโศกกล่าวว่า วานนี้มีการจุดเทียนร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชากลางสะพานเชื่อมระหว่างแผ่นดินไทยกัมพูชา มีการพูดว่า นัตถิ สันติ ปร สุขัง คือสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบนั้นไม่มีความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่ต้องแปลอีกเพราะเป็นสิ่งที่เป็นภาษาธรรมร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา ปัจจุบันนี้วิธีที่จะทำให้รัฐบาลสองประเทศพูดคุยกัน คือต้องเริ่มจากประชาชนกับประชาชน พูดคุยกัน จากเล็กๆ ไปหาใหญ่ เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ทำได้ทันที ไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบมากมายนัก และประชาชนมีความรู้สึกร่วมกันที่เป็นสากลนั่นคือความรัก ภาษาพูดต้องมีล่ามแปล แต่แววตาเป็นสิ่งที่ไม่ต้องแปล ซึ่งสิ่งที่เห็นจากแววตาของประชาชนทั้งสองฝ่ายก็คือความรักซึ่งกันและกัน นั่นก็คือความเป็นมนุษยชาตินิยม “เราได้ยินคำว่าชาตินิยมบ่อยครั้งคือปลุกสำนึกให้มีความรักชาติ แต่แปลกที่เมื่อเรามีความรู้สึกชาตินิม คือรักชาติใดชาติหนึ่งก็กลับจงเกลียดจงชังชาติอื่นที่ไม่ชาติเรา คือเมื่อมีความรู้สึกตัวเราของเรา ตัวกูของกู ก็จะมีคนอื่น ทำให้เกิดความแปลกแยกเราต้องมานิยมความเป็นมนุษย์ เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์” นายโบ ตัวแทนประชาชนจากกัมพูชา อีกรายกล่าวว่า อาจะมีคณะกรรมการแก้ปัญหาซึ่งมีตัวแทนของพุทธศาสนิกชนทั้งสองประเทศเข้าร่วม อาจจะแก้ปัญหาได้ เพราะรัฐบาลต่างจนมุมแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว นายแก้ว ประชาชนจากกัมพูชาอีกรายกล่าวว่า ประเทศกัมพูชาอยู่ภายใต้สงครามมากว่า 3 ทศวรรษ และจบลงด้วยธรรมยาตราเพื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องส่งสัยงถึงรัฐบาล ขอให้รัฐบาลทั้งสองหยุดใช้อาวุธ นายแก้วยังเรียกร้องไปยังทหารไทยด้วยว่า มีกรณีที่คนกัมพูชาข้ามพรมแดนมารับจ้าง แต่ถูกทหารไทยยิงเสียชีวิต โดยผู้เสียชีวิตนั้นมีฐานะไม่ดีนักในกัมพูชา ทำให้ตัดสินใจเข้ามาหางานทำในประเทศไทยเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า เหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงขอร้องทหารไทยให้มีเมตตาและอย่าทำร้ายประชาชนชาวกัมพูชาถึงแก่ชีวิต นานสมหมาย ชินนาค นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เสนอว่า คณะกรรมการแก้ปัญหาชายแดน ควรมีประชาชนจากชายแดนทั้งสองประเทศเข้าร่วม เพราะพวกเขาคือผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง รศ.ดร.ปาริชาติ สุวรรณบุบผา จากศูนย์ศึกษาพัฒนาสันติวิธี ม. มหิดล กล่าวว่าการเดินธรรมยาตราเป็นการ Dialogue (เสวนา) แบบหนึ่งคือ การแบ่งปันความเป็นมนุษย์ร่วมกัน ก้าวข้ามความเป็นชาติและศาสนา ก้าวข้ามอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน ในขณะเดียกัน หลักของพุทธประการหนึ่งคือสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยง แม้จะมีผู้ร่วมธรรมยาตราเพียงราว 100 คนวานนี้ แต่หากทำบ่อยๆ ก็จะส่งผลสะเทือนแสดงให้เห็นว่านี่คือวิถีทางที่แสดงความเป็นมนุษย์ร่วมกันเพื่อแสวงหาการแกปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย ศาสนิกที่ไม่นิ่งดูดาย จะไม่บอกว่าปัญหาสังคมเป็นปัญหาที่ไม่ใช่ธุระของตนเอง หากชาวพุทธชูธงสันติวิธี ก็น่าจะมีทางออก นายจอม เพชรประดับ ถามตัวแทนประชาชนกัมพูชาว่า รู้สึกว่าตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองบ้างหรือไม่และจะเคลื่อนไหวอย่างเป็นตัวของตัวเองได้อย่าง ตัวแทนประชาชนจากกัมพูชาตอบว่า บางครั้งรู้สึกตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเหมือนกัน แต่ก็คิดว่ามีทางออกคือประชาชนต้องเคารพและแสดงออกถึงความต้องการของตนเองมากขึ้น ทั้งโดยผ่านกิจกรรมภาคประชาชนและผ่านการเลือกตั้ง โดยเห็นว่าการรณรงค์โหวตโนในประเทศไทยเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่น่าสนใจ และชาวกัมพูชาอาจมีการรณรงค์ในลักษณะเดียวกันในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net