Skip to main content
sharethis

ส่วน “การเมืองใหม่” ดอดส่ง ส.ส. กกต.กำลังวินิจฉัย พร้อมจวก “ประชาธิปัตย์” ใช้โอกาสเปลือง “ปล่อยให้มีเสื้อแดงเต็มบ้านเต็มเมือง” อัดเสื้อแดงหวังผลทางการเมืองตัดตอนบทสัมภาษณ์ตนไปใช้โจมตีสถาบันองคมนตรี ชี้ “พล.อ.เปรม” มีสิทธิ์สู้ เมื่อสถาบันถูกคุกคาม พร้อมย้อนถาม “ทักษิณ” จะฆ่า “ยิ่งลักษณ์” ด้วยการส่งมาชิงตำแหน่งนายกฯ หรือ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานวานนี้ (30 พ.ค.) ว่า นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ พรรคการเมืองใหม่ กล่าวในรายการ \ตอบโจทย์\" ทางไทยพีบีเอสซึ่งออกอากาศเมื่อ 30 พ.ค. ถึงกรณีที่กลุ่ม นปช.อ้างถึงคำสัมภาษณ์ของนายสุริยะใสเกี่ยวกับบทบาท ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดย นปช. อ้างในการเคลื่อนไหวเพื่อโจมตีบทบาทของ พล.อ.เปรม โดยนายสุริยะใสเห็นว่าเป็นการตัดตอนบทสัมภาษณ์มาเฉพาะตอนใดตอนหนึ่ง ทำนองว่าประธานองคมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัฐประหาร ในวันที่ 19 ก.ย.49 วันนั้นผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพอยู่ที่บ้านสี่เสา แต่ที่ผ่านมาพล.อ.เปรม ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง นายสุริยะใสกล่าวด้วยว่า ในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ การเมืองเมื่อก่อนรวบอำนาจ มีการคุกคาม แทรกแซงสื่อ ใช้อำนาจรัฐจัดการครอบงำประชาสังคม ตนจึงตีความ ว่า พล.อ.เปรมก็มีสิทธิสู้ เมื่อสถาบันองคมนตรีถูกคุกคาม หรือสถาบันถูกคุกคาม การที่ นปช.เอามาเคลื่อนไหวเพียงประเด็นเดียว เป็นการหวังผลการเมืองมากไป ซึ่งความจริงตนได้กล่าวในประเด็นอื่นๆ อีกหลายประเด็น และเมื่อปี 52 ที่ นปช.บุกบ้านสี่เสา พล.อ.เปรม ก็ออกมาปฏิเสธแล้วว่าท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ตนเห็นว่า หากอำนาจรัฐจัดความสัมพันธ์กับสถาบันไม่ลงตัว มีการแทรกแซงคุกคามกัน ก็ลำบาก กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ นายสุริยะใสกล่าวว่า เป้านั้นพุ่งไปที่อำนาจนอกระบบ ภายใต้การนำของ พล.อ.เปรม มีการผลิตซ้ำ เผยแพร่ในเครือข่ายเสื้อแดง ตนเห็นว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปสรุปว่าองคมนตรีเป็นปัญหา แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นปัญหาเช่นกัน การดำเนินการต่างๆ ตอนนั้นต้องการไปแทนที่เขาหรือเปล่า การทำแบบนี้ถือว่าเป็นหลุมพราง กับดัก ที่ทำให้ปรองดองไม่ได้ สมานฉันท์ไม่ได้ แต่วันนี้พันธมิตรมองว่าปัญหามันใหญ่กว่าอยู่ที่ตัวบุคคล ปัญหาอยู่ที่ระบบการเมือง นายสุริยะใสกล่าวว่า กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือเป็นนอมินีการเมือง ในยุคที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลปล่อยให้มีเสื้อแดงเต็มบ้านเต็มเมือง ถือว่าประชาธิปัตย์ใช้โอกาสเปลือง เมื่อตอนที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลตอนนั้น กลุ่มเสื้อเหลืองก็ไม่ได้หายไป ถือว่ารัฐบาลทำลายโอกาสตัวเองเช่นกัน การชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชิงตำแหน่งนายก เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยลงเลือกตั้ง ต้องมาเล่นบทละอ่อนทางการเมือง ขณะที่โจทย์ที่ต้องแบกในตำแหน่งนายกฯถือว่าใหญ่มาก จะถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะฆ่า น.ส. ยิ่งลักษณ์หรือเปล่า ที่ส่งมาชิงตำแหน่งนายกฯ กรณีถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ พันธมิตรฯจะทำอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า โจทย์สำคัญที่ทำให้มีคนออกมาเคลื่อนไหว คือ โจทย์เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทยต้องสรุปบทเรียนที่ผ่านมา ที่เคยเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียวก็ยังคว่ำมาแล้ว ต้องคิดว่าไม่ใช่เพียงชนะเลือกตั้งแล้วคิดจะทำอะไร ก็ได้ เพราะแรงต้านมันจะสูงขึ้น ต่อให้ตนอยู่เฉยๆ ถ้ามาพูดเรื่องเอาพ.ต.ท.ทักษิณกลับมา เสื้อเหลืองก็จะกลับมาอีกรอบ นายสุริยะใส ตอบคำถามในเรื่องการรณรงค์โหวตโนที่ถูกระบุว่าจะทำให้ พรรคประชาธิปัตย์แพ้ เพื่อไทยจะชนะ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมา โดยนายสุริยะใสกล่าวว่า ตอนนี้เวทีชุมนุมที่สะพานมัฆวาน ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองฝ่ายทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งระบอบทักษิณ ที่ผ่านมามีเพียงสองทางเลือก การรณรงค์โหวตโนเพื่อพยายามสร้างทางสายที่สามให้เกิดขึ้น ที่ผ่านมาไม่มีพรรคทางเลือก ทางสายที่สามก็สร้างไม่ได้ การรณรงค์โหวตโน พยายามสร้างทางสายที่สาม เราได้เริ่มพูด และเริ่มคิด ถึงหนทางที่ต้องปฏิรูปประเทศไทย พรรคการเมืองใหม่ ตอนนี้ก็ไปลำบาก พรรคการเมืองใหม่เกิดจากพันธมิตรฯ เป็นเครื่องมือของพันธมิตรฯ เพราะกระบวนการภาคประชาชนถือว่ายืนยาวกว่าคำว่า พรรค เมื่อถึงจุดที่ คนในพรรคคิดแตกต่างกับพันธมิตรฯก็เป็นแบบนี้ ซึ่งพรรคตั้งโดยพันธมิตรฯ ควรจะทำตามมติของพันธมิตรฯ การไม่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสามารถเว้นได้ถึง 8 ปี สำหรับนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังถือเป็นพี่ชาย แต่เมื่อเห็นต่างกัน ก็ต้องปะทะกันตามกรอบของกฎหมาย ตอนนี้ ตนก็ได้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่พรรคการเมืองใหม่ไปสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งๆที่ยังไม่มีมติพรรค ตนเป็นเลขาธิการพรรค ยังไม่เคยมีเอกสารการ ประชุม ตนก็ทักท้วง โดยใช้ข้อกฎหมาย ทำตามข้อบังคับพรรค ซึ่ง กกต. อยู่ระหว่าง วินิจฉัย คาดว่าสัปดาห์นี้จะรู้ผล สำหรับเรื่องความตั้งใจของตนที่อยากไปเรียนต่อในต่างประเทศ ก็ได้ไปดูมาหลายที่ ทั้งที่ชิคาโก ฮาวาย นิวยอร์ก แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป ตนมีคดีความมากมาย ตอนนี้ต้องขึ้นศาลเกือบทุกเดือน บางคดีต้องไปถึงจ.ชัยภูมิ ซึ่งพ่อแม่ก็มีความเข้าใจเพราะติดตามข่าวสารตลอด ส่วนกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ คนเหล่านี้ถือเป็นรุ่นพี่ ตนได้เข้าไปคลุกคลีในช่วงเหตุการณ์พฤษภา 35 ที่รามคำแหง วันนี้ก็ไม่ได้คุยกันเลย แต่ ไม่ว่าจะอยู่สีอะไร ต้องเข้าใจว่าความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาได้ นักประชาธิปไตยจะเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย จะทำอย่างไรให้เป็นความหวังเพื่อประชาชน ตอนนี้ตนมาถึงวันนี้ ตนเลือกแนวทางนี้ ตอนนี้เป็นระหว่างทาง ไม่ช้าก็เร็วสังคมจะมาถึงจุดนี้ ความฝันที่ตนอยากเห็น คือ อยากให้สังคม มีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุด ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกฎหมาย ตนอยากเห็นสังคมมีสิทธิเสรีภาพ คนตระหนักว่าการมีสิทธิก็มีความรับผิดชอบอยู่ สิทธิอะไรที่ทำแล้วเป็น ประโยชน์ต่อส่วนรวม สังคมต้องเรียนรู้อีกมาก นอกจากนี้ อยากเห็นการลดระดับ การปกครองโดยนักการเมือง อยากเห็นประชาชนเป็นผู้ชี้นำ สังคม ชุมชนในภาพใหญ่ อยากให้บทบาทของนักการเมืองลดลง ต่อจากนี้เมื่อพันธมิตรฯ รณรงค์โหวตโน คนที่ไปลงสมัครรับเลือกตั้งก็รอ กกต. ชี้ขาด หลังเลือกตั้ง พันธมิตรฯจะใช้การรณรงค์โหวตโน เพื่อนับหนึ่ง ตั้งต้นการปฏิรูปการเมือง เมื่อนั้นก็จะได้พันธมิตรฯใหม่ๆ ที่เห็นด้วยเข้ามาร่วมกระบวนการร่วมกัน"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net