Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เรื่อง “เด็กๆ หายไปไหน??” ปรากฏเป็นตอนหนึ่งในหนังสือที่ระลึกงานศพ คุณพ่อเจ็งฮี้ แซ่โค้ว (4 ตุลาคม 2471 – 28 พฤษภาคม 2554) ถ้อยคำเรียบง่ายบรรยายถึงความรู้สึกและบรรยากาศของผู้ร่วมอยู่ในห้วงเวลาเลวร้าย ซึ่งกลายมาเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคมไทยจนทุกวันนี้ ‘ประชาไท’ ขอขอบคุณเจ้าของผลงานที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่อีกครั้งในวาระ 35 ปี 6 ตุลาฯ สายวันนั้นเด็กหนุ่มสาวเป็นร้อยคนทะลักเข้ามาที่บ้านท่าพระจันทร์ ทั้งจากประตูหน้าบ้านและหน้าต่างชั้นสองหลังบ้าน เสียงระเบิดสนั่นแก้วหู คนหนึ่งอุจจาระราดแม่ต้องเอากางเกงให้เปลี่ยน ชุดของเธอยังแช่อยู่ในกาละมังหลังบ้าน ในตอนที่กลุ่มทหาร - ตำรวจพร้อมอาวุธสงครามในมือแบบถือปืนยาวสิบกว่าคนเข้ามาสำรวจบ้านจนครบทุกชั้น พ่อเดินนำทางพร้อมกับพูดเสียงสั่นซ้ำๆ ไปมาว่าอย่ายิงใครนะครับ น้ำเสียงคุ้นหูแบบเดียวกับเสียงไกลๆ ที่ปลุกเราเมื่อฟ้าสางวันนั้นว่า “พี่ๆ ทหารครับ อย่ายิงเลยครับ พวกเราไม่มีอาวุธอะไรเลยนะครับ” ซ้ำไปซ้ำมาจนเราง่วงนอน แล้วมาตื่นอีกทีก็ตอนสายอันอึกทึกนั้นเอง พี่ๆ ทหารเอาเด็กหนุ่มสาวออกไปจากบ้านจนหมด พร้อมๆ กับกลับมาลากพี่ชายลำดับสี่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรของพวกเราไปด้วย พี่สาวบอกว่าเขาเอาปืนฟาดจนทรุดต่อหน้า เราอยู่ชั้นบน สิ่งที่จำได้แม่นยำคือเสียงหวีดร้องโหยหวนยาวๆ ของพี่สาวและแม่ แบบที่เคยได้ยินเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวในชีวิต จึงวิ่งลงมาดู ...เห็นพ่อและแม่หัวใจสลาย ช่วงนั้นบ้านเป็นสีทึมๆ เพราะเวลาปิดร้านชั้นล่างจะมีแสงลอดเข้ามาจากช่องแสงเหนือประตูหน้าบ้านเท่านั้น ได้ยินพี่สาวปรึกษากันว่าจะเอาพี่ชายคนนั้นกลับบ้านมาได้ยังไง รอข่าวว่าพี่ชายอีกสองคนในที่ชุมนุมไปอยู่ที่ไหน เสียชีวิตหรือไม่ ภาพถ่ายขาวดำที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างข้างนอกเมื่อเช้าวันนั้นถูกส่งมาให้ที่บ้านดู เด็กหนุ่มสาวหลายคนถูกฆ่าตายกลางเมืองในสภาพพิศดารจนไม่น่าเชื่อ รอบๆ บ้านเราห่างออกไปไม่ถึงกิโลนี่เอง พี่ชายสามคนติดคุก พี่ชายลำดับสี่ถูกปล่อยออกมาก่อน เพราะไม่เคยแม้แต่ไปร่วมชุมนุมใดๆ แต่ได้รอยแผลเป็นที่ถูกบุหรี่จี้ตามร่างกายอยู่หลายแผลกลับมา พี่สาวในวัยมัธยมตัดสินใจจากบ้านเข้าป่าไปกับเพื่อน เธออยู่ในแบล็คลิสต์ของทางการเนื่องจากเคยถูกจับไปหนึ่งคืนก่อนตุลานั้นไม่นาน ไม่มีความเชื่อมั่นใดๆ เหลือสำหรับครอบครัวเราอีก ว่าจะมีใครมาลากตัวเธอไปจากพ่อแม่ในวันพรุ่งนี้อีกหรือไม่ พี่ชายลำดับห้าเป็นหนึ่งในสามสิบหกผู้ต้องหาอยู่เกือบปีจึงถูกปล่อยตามมา และตามหนุ่มสาวคนอื่นๆ หนีการคุกคามจากรัฐเถื่อนเข้าป่าไปอีกคน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ เสียงของคุณทมยันตีเร่าร้อนอยู่ในวิทยุเมื่อใกล้ตุลาปี19 ได้ยินพาดพิงมาถึงชื่อพี่ชายลำดับหก ในจังหวะที่พ่อกำลังเก็บร้านอยู่ตอนหัวค่ำ พ่อดุพี่ชายตอนแกกลับมาหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ประมาณว่าเขาโยนข้อหาคอมมิวนิสต์มาให้กลายๆแล้ว พ่อคงไม่ชักแน่ใจว่าความใฝ่รู้ สงสัยหาคำตอบ อยากทำความเข้าใจสังคมที่เรามีชีวิตอยู่สำหรับมนุษย์หนึ่งคน แบบที่พ่อเลือกทำอย่างตรงไปตรงมา ปลูกไว้ให้ลูกๆเห็นอย่างง่ายๆไปเรื่อยๆมาหลายปี ไหงกลายเป็นภัยสังคมไปในวันนั้นได้? ร้านเปิดอีกครั้ง วันนี้แม่สับหมูแดงชุดใหญ่จัดเป็นชุดๆ ใส่ตะกร้า พาเราและพี่ชายสิบขวบนั่งรถเมล์ไปคุกบางเขนเพราะลูกชายสองคนอยู่ที่นั่น สองข้างทางยังเป็นที่โล่งมีบิลบอร์ดโฆษณาเป็นระยะ นั่งกันจนง่วงนั่นแหละ ลงจากรถแล้วก็ต้องเดินเท้าตากแดดไปอีกเกือบกิโลจึงจะถึง เสียงดังจ๊อกแจ๊กและเห็นแม่อีกหลายแม่ทักทายแม่เรา รอยยิ้มเหนื่อยๆ กังวลแต่ก็ดีใจเวลาลูกของแม่แต่ละคนโผล่หน้าออกมานั้นเป็นรอยยิ้มเดียวกัน มีลูกกรงกั้นพี่ชายอยู่ในห้องที่เรียงแถวไว้เป็นช่องๆ ต้องคุยห่างกันประมาณหนึ่งเมตร อยากกอดแค่ไหนก็ได้แต่ยิ้มให้เห็น เราวิ่งเล่นไปมาแถวนั้นจำได้ว่าไม่เคยเห็นพี่ชายร้องไห้หรือทำท่ากังวลให้เห็นเลย แกยิ้มทักทายผู้คุมไปเรื่อย ข้าวหมูแดงแสนอร่อยแม่หิ้วมาให้ทุกคนไม่เว้นตำรวจและผู้คุม แม่เหลือแค่พลังเมตตาให้เชื่อมั่นเพราะทางเลือกอื่นไม่มี ว่าถ้าเราดีกับใครเขาแล้ว เขาคงปรานีกับลูกแม่เช่นกัน พ่อไปเยี่ยมพี่ชายที่คุกเพียงครั้งเดียว เพราะทนเห็นลูกที่อยู่หลังลูกกรงไม่ได้ เปิดร้านขายของอีกครั้งก็มุ่งมั่นเก็บตังค์เพื่อไปปลูกบ้านใหม่ให้ไกลจากเรื่องใจร้ายที่พรากลูกไปรวดเดียวถึงสี่คนในช่วงเวลาไม่ถึงปีนั้น บ้านใหม่ของพ่อมีเจ็ดห้องนอน นอนห้องละสองคนน่าจะสบายกว่าห้องละสิบเอ็ดคน อย่างมากก็ซื้อทีวีใหม่อีกเครื่องที่ไม่มีเสียงวิทยุยานเกราะมารบกวนเราอีก ทุกวันแม่จะตื่นเช้าประมาณตีสี่ จัดการเตรียมต้มไก่และจัดของหน้าร้านที่เปิดขายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เราตื่นมาก็ไปชี้หมูแดงในตู้ว่าจะกินส่วนไหน (หมูแดงที่ร้านไม่ค่อยสวยเพราะลูกๆ จะมักชี้ตรงส่วนงอกที่แสนอร่อยทำให้ดูกระดำกระด่าง) ส่วนไก่เนื้อหน้าอกไม่มีมันแม่เก็บไว้ให้อยู่แล้วไม่ต้องบอก เที่ยงเป็นเวลาวุ่นวายเพราะลูกค้ามาเต็มร้าน เรามาช่วยเสริฟอย่างเดียว แต่ละหน้าที่เก็บเงินไว้ให้คนอื่นเพราะกลัวว่าคิดผิดเดี๋ยวพ่อดุเอา บางวันยืนล้างจานเป็นร้อยอยู่หลังบ้านได้ถึงสองชั่วโมง พอลูกค้าซาแล้วแม่พบว่าเราปฏิบัติภารกิจอยู่เบื้องหลัง ก็ชมจนเรายิ้มแก้มปริ สี่ทุ่มแล้วนั่นแหละแม่ถึงล้างข้าวของเก็บร้านเสร็จ ขึ้นมาชั้นสองเปิดทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กเพื่อฟังวิทยุคลื่นสั้น “เสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” พ่อกับแม่นั่งฟังเสียงขลุกขลิกที่ขาดตอนเป็นช่วงๆ ได้เป็นชั่วโมงจนกว่าจะง่วงหลับไป ประมาณว่าเมื่อฟ้าสีทองประชาชนก็จะชนะและเป็นใหญ่ เสียงผู้ประกาศก็มักจะเป็นเสียงผู้หญิงเจื้อยแจ้ว แค่หวังว่าประชาชนชนะเมื่อไหร่ พ่อกับแม่จะได้ลูกสาวคนนั้นกลับมา ไม่ว่าท่านประธานพรรคจะพูดภาษาฟังเข้าใจยากอยู่คืนแล้วคืนเล่าก็ตาม อีกนัยหนึ่งพ่อกับแม่คงคิดว่าเสียงนี้ลอยมาจากที่ที่ลูกสาวอยู่ เสียงหญิงสาวในนั้นอาจเป็นเพื่อนของลูก หรือเป็นเด็กสาวที่อยากพูดอะไรมากมายเหมือนลูกของแม่ ก็เหลือทางสื่อสารอยู่ทางเดียวนี่นะ ที่จะทำให้รู้ว่าลูกไปอยู่กับใคร และคอยฟังว่ามีชีวิตประจำวันทำอะไรกันอยู่บ้าง แม้มีการสื่อสารทางตรงอีกทางคือจดหมายที่พี่สาวเขียนมาจากป่า มันก็ใช้เวลาสามหรือสี่เดือนจึงจะมาถึง และหลายเดือนจึงจะมีมาสักครั้ง เราและพี่ชายคนเล็กมีหน้าที่ผลัดกันอ่านจดหมายออกเสียงมาให้พ่อและแม่ฟัง ภาษาก็แปลกๆ ไม่น้อยกว่าเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย คือเชื่อมั่นในพรรคเป็นระยะๆ ตลอดจดหมาย น้ำเสียงไม่ใสแบบพี่สาวคนนี้ที่เรารู้จักเท่าไหร่นัก แต่ลายมือก็ใช่อยู่ บ่ายวันหนึ่งพี่สาวคนโตนั่งเขียนจดหมายด้วยน้ำมะนาวโดยมองไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองเขียน เราเข้าไปถามด้วยความสงสัย เธอเลยแสดงให้เห็นว่าพอเอาเตารีดนาบเข้าไปข้อความก็จะปรากฏออกมา เสร็จแล้วก็พับจดหมายชุดที่ยังไม่รีดนี้ซ่อนไว้ใต้ก้นถุงกระดาษ เอากระดาษแข็งปิดกาวไว้ทับอีกที เป็นถุงใส่อาหารหรือผลไม้และข้าวของที่จะเอาไปเยี่ยมพี่ชายในคุก เพราะว่าถ้าส่งจดหมายปกติให้พี่ชายในคุก ผู้คุมจะเปิดอ่านเซ็นเซอร์ก่อน แล้วขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแกว่าจะให้ส่งเข้าไปไหม และดีไม่ดีผู้ส่งอาจโดนข้อหาคอมมิวนิสต์เอาได้ง่ายๆ ไปอีกคน เลยใช้วิธีแบบนี้ดีกว่า ส่วนใหญ่เป็นการลอกจดหมายจากพี่ชาย พี่สาว และเพื่อนๆ ในป่านี่แหละ จะเป็นการนัดแนะปฏิบัติการเคลื่อนไหวทำลายล้างสถาบันหรือไม่ เราก็ไม่เห็นวิกฤตทางการเมืองใดๆ หลังจากนั้นอันเนื่องมาจากฝ่ายซ้ายอีก นอกจากกบฎทหารแย่งอำนาจกันเองเมื่อเดือนมีนาคม 2520 ที่ท้ายสุดคุณฉลาดก็มาอยู่ร่วมคุกเดียวกับพี่ชายเราพักหนึ่ง ก่อนถูกประหารสังเวยความหวาดกลัวของผู้มีอำนาจในยุคนั้น จะคุยกับพี่ชายในคุกก็ถูกฝ่ายขวาเซ็นเซอร์ เอาเข้าจริงภาษาแปลกๆ ในจดหมายจากป่าของพี่สาวก็อาจเนื่องมาจากถูกฝ่ายซ้ายเซ็นเซอร์ก่อนมาถึงมือแม่ของลูกทุกคนในนั้นเช่นกัน พ่อกับแม่ฟังเสียงประชาชนแห่งประเทศไทยอยู่หลายปี จนเจ็ดร้อยวันผ่านไป พวกเราก็ได้กอดพี่ชายที่ถูกปล่อยออกมาที่หน้าคุกนั่นเอง เราไม่ได้ไปรอรับด้วย แต่เห็นแม่ในข่าวผ่านดาวเทียม ยุคแรกของข่าวต่างประเทศในเมืองไทย แม่หลับตากอดพี่ชายท่ามกลางคนวุ่นวายรอบตัวแล้วภาพก็ตัดหายไป เป็นชัยชนะของพ่อกับแม่คู่หนึ่งที่เอาลูกชายกลับบ้านมาได้อีกหนึ่งคน.... ท่ามกลางพ่อแม่มากมาย ที่ได้แต่ตั้งคำถามซึ่งตอบไม่ได้ว่า เด็กๆ หายไปไหน ….

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net