Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ขอนำประเด็นที่โพสต์ที่เฟสบุ๊ควันนี้มารวบรวม ร้อยเรียงใหม่ เพื่อการทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ เรื่องความสับสนเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย ก่อนอื่นมีน้องที่น่ารักคนหนึ่งเตือนความจำว่า วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2490) เมื่อ 64 ปีที่แล้ว ทหารและรอยัลลิสต์ ออกหน้าโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ได้ร่วมกันทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลคณะราษฎร และนำสู่การสิ้นสุดของประชาธิปไตยโดยประชาชน หลังจากที่ได้พยายามประคับประคองมาได้ 15 ปี นับตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 และเป็นจุดเริ่มต้นของการเมือง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในวิถีสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่ดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน การก่อเกิดพรรคประชาธิปัตย์เพื่อปกป้องชนชั้นสูง ในปี 2489 เช่นกัน ม.ร.ว. เสนีย์? ปราโมช และควง อภัยวงศ์ ด้วยการสนับสนุนจากชนชั้นสูง ได้ร่วมตัวกันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา มีผลงานประจักษ์เด่นชัดว่าเป็นพรรค (พวก) \ของชนชั้นสูง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นสูง\" และได้เล่นเกมการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภาในมาด \"ผู้ดีรัตนโกสินทร์\" ผนวกกับด้วยยุทธศาสตร์ \"ปากว่า ตาขยิบ\" หมายความว่า ในขณะที่ปากบอกว่า “เราจะเล่นตามกติกา” แต่ “ตา” ก็ “ขยิบ” ให้พลพรรค (พวก) สาดโคลนขั้วตรงข้ามอย่างรุนแรง ในทุกรูปแบบที่ทำได้ กรณีตัวอย่างที่เป็นที่รับรู้กันอย่างดี คือ การปรักปรำ ศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์ แกนนำแห่งคณะราษฎรที่ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงคำนิยามประเทศไทยจาก \"สมบูรณาญาสิทธิราชย์\" มาเป็น \"ประชาธิปไตย\" ได้สำเร็จในปี 2475 (ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าปรีดี เป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยเมืองไทยก็ว่าได้) ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8 และยังมีการสร้างจิตวิทยามวลชนเพื่อกดดันท่านปรีดี ด้วยการส่งคนไปตะโกนในโรงหนังว่า \"ปรีดีฆ่าในหลวงอานันท์\" จนปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ และไม่ได้กลับเมืองไทยจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2526 (โดยไม่มีงานพระราชทานเพลิงศพ) เป็นต้น ด้วยเป็นพรรคเดียวในประเทศไทย ที่อยู่รอดการถูกล้มมาได้จนถึงปัจจุบัน ประชาธิปัตย์จึงมีวิทยายุทธ์ทางเกมการเมืองที่กล้าแกร่ง และมีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างยากที่จะหาพรรคการเมืองใดในประเทศไทยเทียบเทียมได้ และด้วยการมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่ามาอย่างยาวนาน พรรคประชาธิปัตย์จึงโดดเด่นในเรื่องการ “เล่นเป็นทีม” มากกว่า พรรคการเมืองรุ่นหลังที่มักมีตัวชูโรงส่วนใหญ่เป็น “หัวหน้าพรรค” เท่านั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์และค่ายชนชั้นสูงที่ไม่ต้องทำงานหนักมากนักมาโดยตลอด ต้องหวั่นไหวจากการการก่อตัวของพรรคไทยรักไทยในปี 2540 ที่แม้จะสูญเสียผู้นำไปหลายรุ่น (จากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองและคดีความต่างๆ) รวมทั้งถูกกยุบพรรคถึง 2 ครั้งจนต้องตั้งพรรคสำรองไว้ทั่วราชอาญาจักรเพื่อเตรียมตัวยามถูกยุบพรรค จะได้มีพรรคเสียบได้ทันท่วงที และปัจจุบันยังดำรงอยู่ในชื่อ \"พรรคเพื่อไทย\" และยังสามารถเอาชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ได้อีกสมัย และทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล กระนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องด้วยการมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่าอย่างแนบแน่น และเชี่ยวชาญยุทธการ \"หลังม่าน\" หรือ “การล็อบบี้ทั้งในและนอกรัฐสภา” ตลอดจนสามารถรวบรวมชนชั้นสูงที่จบจากเมืองนอก ทั้งจากฮาร์วาร์ดและอ๊อกฟอร์ด เข้ามาอยู่ในพรรคจำนวนมาก ภาษาอังกฤษจึงไม่ผิดเพี้ยน เพราะพริ้ง งดงาม นุ่มนวล ทำเอาสาวสลิ่มพากันเคลิบเคลิ้ม คลั่งไคล้ กันอย่างหนัก การสร้างภาพที่สำเร็จงดงามกับชาวฟ้า ชาวกรุงว่า นักการเมืองผู้ดีที่มาจากชนชั้นสูง คือกลุ่มคน (กลุ่มเดียว) ที่มีศักยภาพและคุณสมบัติแห่ง “การเป็นนักการเมืองที่ดี” พร้อมทั้งอัดฉีดแคมเปญต่างๆ เพื่อดำรงคุณค่าและสถานะแห่ง \"ผู้ดี\" และตอกย้ำคนชั้นล่างถึงความเป็น \"ไพร่\" ว่า “อย่าสะเออะเสนอหน้า” ไว้ได้อย่างมั่นคง ไปกับวาทะกรรม \"คนไม่เท่ากัน\" และ \"ผู้ดี=คนดี\" \"คนชนบท=คนโง่\" กันอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ แต่เนื่องจาก “ความจนไม่เข้าใครออกใคร” แม้จะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เมื่อถูกกดขี่บีทาอย่างไม่เว้นวาย คนจนก็ลุกขึ้นตั้งคำถามและมีปฏิกิริยาตอบโต้บ้างว่า “การเมืองตัวแทน” ไม่จำเป็นต้องเป็น “การเมืองคนดี” แต่ เป็นการเมืองระบบรัฐสภาตัวแทน ที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ โดยประชาชนจะทำหน้าที่ควบคุมตัวแทนของเขาเอง. . จนตอกหน้าพรรคอำมาตย์จนหน้าหงายแพ้การเลือกตั้งมาต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยการเลือกตั้งปี 2544 หน้าสิ่วหน้าขวาน หลังจากที่ขั้วอำนาจเก่าหรือขั้วอำมาตย์พ่ายแพ้มาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งในสนามเลือกตั้ง ทั้งไม่สามารถคุม? “ไพร่” ไว้ใน “กะลาครอบ” ได้อีกต่อไป ด้วยคำสาปให้คนหมอบคลาน และมอบกราบอยู่ใต้ตีนอำมาตย์นั้น ได้ถูกทำลายลงไปด้วยโกเต๊กเปื้อนเลือดของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ประกาศบนเวทีพันธมิตรฯกระจายสัญญาณผ่านสถานี ASTV ของตนเมื่อ 29 ตุลาคม 2551 (http://thaienews.blogspot.com/2008/10/blog-post_31.html) ว่า \"ได้ทำพิธีบางอย่างกับพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ด้วยการนำผ้าอนามัยหญิงที่ใช้แล้วจำนวน 6 ชิ้นไปวางไว้ที่บริเวณดังกล่าว โดยอ้างว่าต้องการป้องกันภูตผีตามความเชื่อของตน\" ราชอาณาจักรไทย ณ ยามนี้จึงอยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างน่ากลัว เพราะแม้รอยัลลิสต์หัวรุนแรง ที่นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล จะยึดถนนราชดำเนิน ยึดทำเนียบ ทำร้ายตำรวจ จนคนพันธมิตรที่ปะทะกับตำรวจจนเสียชีวิต (

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net