Skip to main content
sharethis

28 ก.พ.55 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีคำพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลย เป็นเวลา 20 ปี ฐานผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ กรณีรับรองเอกสารในฐานะกรรมการบริษัทอันเป็นเท็จเพื่อให้บริษัทที่ตัวเองถือ หุ้นอยู่ไปกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยศาลลงโทษจำคุกรวม 17 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 85 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน แต่ตามกฎหมายลงโทษสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี โดยคดีนี้ศาลไม่รอลงอาญา เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เวลา 15.30 น. นายสนธิได้ลงมาที่ใต้ถุนศาล เพื่อรอยื่นเรื่องขอประกันตัวออกไป. ต่อมาเวลา 17.45 น. เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานว่า ศาลมีคำสั่ง ให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสนธิ พร้อมจำเลยร่วม โดยตีราคาประกันคนละ 10 ล้านบาท พร้อมรายงานรายละเอียดคดีว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ. แมเนเจอร์ฯ และ น.ส.วยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311, 312 (1) (2) (3) , 313 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2539 - วันที่ 31 มี.ค.2540 จำเลยทั้ง 4 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จว่ามีมติให้ บริษัท เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้น กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 1 และ 3 ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2539 - 18 พ.ย.2541 จำเลยทั้งยังร่วมกันยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงตัดทอนทำบัญชีไม่ตรงกับความเป็น จริง และจำเลยทั้ง 4 ยังไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวซึ่งถือเป็นรายการที่ทำให้ราย ได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539-2541 และจะต้องนำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา และแขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. เกี่ยวพันกัน ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง 4 แล้ว รับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันทำสำเนารายงานการประชุมกรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ โดยลงชื่อรับรองสำเนาเพื่อแสดงว่ามีกรรมการของบริษัทร่วมประชุมมีมติให้ บริษัทค้ำประกันเงินกู้ บมจ.เดอะเอ็ม กรุ๊ปฯ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย โดยสำเนารายการดังกล่าวเป็นเท็จ ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีได้รายงานกับ กลต. ว่าในช่วงปีที่ผ่าน กรรมการของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ไม่ได้มีการประชุมเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 4 ได้นำสำเนาเท็จดังกล่าวไปแสดงต่อธนาคารกรุงไทย โดยหลงเชื่อและยินยอมให้ บมจ.แมเนเจอร์ฯค้ำประกันหนี้ กระทั่งธนาคารกรุงไทยมอบเงินกู้และเงินเบิกเกินบัญชีให้แก่ บมจ. เดอะเอ็มกรุ๊ปฯ รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 1,078 ล้านบาท อันเป็นการกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตที่ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุม นอกจากนี้จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ยังลงข้อความในเอกสารของบริษัททำบัญชีโดยไม่ครบถ้วน ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ด้วยการไม่นำภาระการค้ำประกันหนี้ลงในรายการภาระหรือรายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เพื่อจัดส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และ กลต. เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ที่ควรได้ ที่เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ของ บมจ.เดอะเอ็มกรุ๊ปฯ ที่ทำให้เกิดความเสียหาย กับผู้ถือหุ้นและกรรมการคนอื่นของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ และธนาคาร กรุงไทย ส่วนที่จำเลยทั้ง 4 ขอให้รอการลงโทษ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ทำให้บริษัทต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันในเงินกู้ที่เป็นหนี้จำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัท ผู้ถือหุ้น และกรรมการคนอิ่นของบริษัท รวมทั้ง ธนาคารกรุงไทย ต้องได้รับความเสียหาย ในภาระผูกพันหนี้สินดังกล่าว ขณะที่ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ต้องนำผลกำไรไปชดใช้หนี้สินแทน ส่วนที่จำเลยทั้ง 4 นำสืบว่า ธนาคารกรุงไทย ได้รับความเสียหาย เนื่องจากธนาคารยอมรับชำระหนี้จาก บมจ.แมเนเจอร์ฯ เพียง 259 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ธนาคารกรุงไทย จะเรียกจากผู้ค้ำประกันรายอื่นนั้น ศาลเห็นว่า แม้การให้สินเชื่อดังกล่าวจะมี บมจ.แมเนเจอร์ฯ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ แต่เมื่อธนาคาร กรุงไทย ไม่ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนสิ้นเชิง ก็ถือว่าธนาคารกรุงไทย ได้รับความเสียหายแล้ว ส่วนที่บริษัท และบุคคลอื่นจะยินยอมชำระหนี้ให้ธนาคารมากน้อยเพียงใดในภายหลังนั้น ไม่ได้หมายความว่าธนาคารกรุงไทยจะไม่ได้รับความเสียหาย ขอนำสืบของจำเลยทั้ง 4 จึงไม่สมเหตุสมผลไม่มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ความผิดตามฟ้องมีบทลงโทษให้จำคุก ตั้งแต่ 5 - 10 ปี และปรับเป็นเงินจำนวน 2 เท่าของราคาทรัพย์สิน แต่ไม่ต่ำกว่าจำนวน 5 แสนบาท ถือว่ากฎหมายได้บัญญัติอัตราโทษไว้สูง และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยังมีเจตนารมณ์ให้ลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหาต่างๆ สถานหนักดังนั้นพฤติการณ์แห่งคดี จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยทั้ง 4 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1และ3 มีความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยร่วมกันกระทำการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ , ร่วมกันไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท และร่วมกันทำบัญชีไม่ครบถ้วนไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อลวงให้บริษัท และผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ การกระทำของจำเลยที่ 1และ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และ ประมวลกฎหมายอาญา 83,91 รวมจำคุก 17 กระทงละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 85 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 4 กระทำความผิดรวม 13 กระทง ลงโทษกระทงละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 65 ปี จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพเป็นโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 42 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน และจำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน แต่โทษสูงสุดในความผิดฐานดังกล่าว กฎหมายกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 , 3 และ 4 คนละ 20 ปี โดยให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดง อ.5068/2550 ที่หมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี คดีหมายเลขแดง อ.1241/2550 ที่หมิ่นประมาทนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน และคดีหมายเลขแดง อ.3356/2552 ที่หมิ่นประมาท นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ หมายเลขแดง อ.2318/2554 ศาลอาญา หมายเลขแดง อ.2990/2552 และคดีที่ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขแดง อ.823/2551 นอกจากนี้มติชนออนไลน์ ยังเผยแพร่วิดีโอการให้สัมภาษณ์ของนายสนธิด้วย โดยระบุว่าจะยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย พร้อมเดินเข้าศาล โดนลงโทษเบ็ดเสร็จ 85 ปี และลดเหลือ 20 ปี เพราะกฎหมายไม่ให้เกิน 20 ปี ผมขอใช้สิทธิ์อุทธรณ์ให้ศาลเมตตาเพราะคดีของตนไม่ใช่ยาเสพย์ติด ปล้น ฆ่าผู้คน เป็นคดี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ และคดีนี้ไม่มีโจกท์ร่วม และผมยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน และอดขำไม่ได้ตอนศาลอ่านคำพิพากษา (ดูคลิปที่นี่)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net