Skip to main content
sharethis
 
27 เม.ย. 55 - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์ "เปิดโปงผลการสอบสวนปัญหาการรั่วไหลของคราบน้ำมันในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ของบริษัทเชลล์ซึ่งมีข้อมูลไม่เที่ยงตรง" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ..
 
แถลงการณ์
 
เปิดโปงผลการสอบสวนปัญหาการรั่วไหลของคราบน้ำมันในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ของบริษัทเชลล์ซึ่งมีข้อมูลไม่เที่ยงตรง
 
ปัญหาการรั่วไหลของคราบน้ำมันในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์เลวร้ายกว่าข้อมูลที่เชลล์เคยยอมรับไว้มาก ทั้งนี้จากการประเมินผลจากหน่วยงานอิสระที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและศูนย์เพื่อสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (Centre for Environment, Human Rights and Development - CEHRD) ได้รับ ซึ่งเผยให้เห็นว่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ประเมินปริมาณความเสียหายต่ำกว่าความจริงมาก
 
การรั่วไหลของคราบน้ำมันในปี 2551 เกิดจากความผิดพลาดในระบบท่อส่งของเชลล์ ส่งผลให้มีการรั่วไหลของน้ำมันหลายหมื่นบาร์เรล สร้างมลพิษบนดินและในแหล่งน้ำรอบตัวเมืองโบโด (Bodo) สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ซึ่งมีประชากรประมาณ 69,000 คน
 
จากการประเมินผลกระทบที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ของบริษัท Accufacts Inc จากสหรัฐอเมริกา พบว่ามีการรั่วไหลของน้ำมัน 1,440 - 4,320 บาร์เรลต่อวันที่เมืองโบโดนับแต่เริ่มการรั่วไหล หน่วยงานควบคุมของไนจีเรียยืนยันว่ามีการรั่วไหลนานถึง 72 วัน
 
ในขณะที่รายงานการสอบสวนอย่างเป็นทางการของเชลล์กลับอ้างว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันเพียง 1,640 บาร์เรล แต่จากการประเมินผลจากหน่วยงานอิสระ จำนวนน้ำมันที่รั่วไหลทั้งหมดในช่วงเวลา 72 วันน่าจะอยู่ระหว่าง 103,000 - 311,000 บาร์เรล
 
“เป็นความแตกต่างมหาศาล แม้จะใช้ค่าการประเมินขั้นต่ำของบริษัท Accufacts ปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันที่เมืองโบโดก็น่าจะมากกว่าปริมาณที่เชลล์อ้างถึงกว่า 60 เท่า” Audrey Gaughran ผู้อำนวยการประเด็นรณรงค์ระดับโลกแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลกล่าว
 
รายงานสอบสวนการรั่วไหลของคราบน้ำมันที่เชลล์เป็นผู้จัดทำยังอ้างอีกว่า มีการรั่วไหลเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2551 แต่ในความเป็นจริงชาวบ้านและหน่วยงานควบคุมในไนจีเรียยืนยันว่าการรั่วไหลเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551
 
แต่ไม่มีความเห็นที่แย้งกันต่อประเด็นที่ว่าเชลล์ไม่สามารถยุติการรั่วไหลของน้ำมันได้จนกระทั่งวันที่ 7 พฤศจิกายน สี่สัปดาห์หลังจากวันที่เชลล์อ้างว่าเริ่มมีการรั่วไหล และ 10 สัปดาห์หลังจากวันที่ชาวบ้านและหน่วยงานควบคุมระบุว่าเริ่มมีการรั่วไหล
 
“ขนาดว่าเราใช้วันที่เริ่มต้นการรั่วไหลตามที่เชลล์อ้าง ปริมาณของน้ำมันที่รั่วไหลออกมากก็ยังมากกว่าที่เชลล์อ้างถึงมาก” Audrey Gaughran กล่าว
 
เมื่อแปลงเป็นหน่วยลิตร เชลล์อ้างว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันกว่า 260,000 ลิตร ในขณะที่ถ้าใช้ตัวเลขประมาณการณ์ขั้นต่ำของบริษัท Accufacts และใช้วันเริ่มต้นการรั่วไหลตามที่เชลล์อ้าง ต้องถือว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันออกมาถึง 7.8 ล้านลิตร
 
อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้วันที่มีการรั่วไหลตามที่ชาวบ้านและหน่วยงานควบคุมยืนยัน และใช้ประมาณการณ์ขั้นสูง เป็นไปได้ว่ามีการรั่วไหลของคราบน้ำมัน 49 ล้านลิตรที่เมืองโบโด
 
การตีพิมพ์ผลการประเมินผลจากหน่วยงานอิสระมีขึ้นในช่วงสัปดาห์การรณรงค์ระดับโลก ประชาชนทั่วโลกเรียกร้องให้เชลล์ยุติการปกปิดข้อมูลผลกระทบที่หายนะของธุรกิจของตนที่มีต่อชีวิตผู้คนและสิ่งแวดล้อมที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์
 
ผลการรายงานความเสียหายที่ต่ำกว่าความจริงมากยังส่งผลกระทบมากกว่านั้น เชลล์มักอ้างต่อนักลงทุน ลูกค้า และสื่อมวลชนว่า การรั่วไหลของคราบน้ำมันที่เมืองโบโดในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ มีสาเหตุมาจากการก่อวินาศกรรม
 
ข้ออ้างดังกล่าวเป็นผลมาจากกระบวนการสอบสวนกรณีการรั่วไหลของคราบน้ำมันที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องและขาดความน่าเชื่อถือ ในรายงานไม่ได้ระบุถึงสาเหตุที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการรั่วไหลของคราบน้ำมัน ปริมาณการรั่วไหล และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น วันที่เริ่มต้นการรั่วไหลเลย
 
ปัญหาที่เมืองโบโดเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ในขณะที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและ CEHRD ยังเปิดโปงให้เห็นความล้มเหลวที่ร้ายแรงเกี่ยวกับการสอบสวนกรณีการรั่วไหลของคราบน้ำมัน
 
หน่วยงานทั้งสองได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้มีกระบวนการสอบสวนที่เป็นอิสระต่อปัญหาการรั่วไหลของคราบน้ำมัน และให้ยุติระบบที่ปล่อยให้บริษัทน้ำมันเข้ามาแทรกแซงกระบวนการดังกล่าว
 
ในเบื้องต้นเชลล์อ้างกับสื่อมวลชนว่า 85% ของน้ำมันที่รั่วไหลในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ในปี 2551 มีสาเหตุมาจากการก่อวินาศกรรม ต่อมาบริษัทยอมรับว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้รวมอยู่ในการรั่วไหลครั้งใหญ่ของคราบน้ำมันซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานที่ผิดพลาดของบริษัทเอง
 
จากหลักฐานใหม่ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและ CEHRD ได้รับเกี่ยวกับปัญหาการรั่วไหลของคราบน้ำมันที่เมืองโบโดพบว่า การรั่วไหลของคราบน้ำมันกว่าครึ่งในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ในปี 2551 เป็นผลมาจากการปฏิบัติงานที่ผิดพลาดของบริษัทเอง และอาจจะมากถึง 80% ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากข้อบกพร่องร้ายแรงในกระบวนการสอบสวนกรณีการรั่วไหลของคราบน้ำมัน ทำให้ต้องมีการประเมินผลกระทบของการรั่วไหลของคราบน้ำมันจากหน่วยงานอิสระ เพื่อให้ได้ตัวเลขความเสียหายที่แท้จริง
 
“การก่อวินาศกรรมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและร้ายแรงในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ แต่เชลล์จะต้องไม่ใช้ประโยชน์จากประเด็นนี้อย่างผิด ๆ โดยไม่ควรนำมาอ้างเพื่อสร้างภาพตนเองและไม่ปล่อยให้มีการตรวจสอบจริงจัง” Audrey Gaughran กล่าว
 
กว่าสามปีหลังจากการรั่วไหลของคราบน้ำมันที่เมืองโบโด เชลล์ยังคงไม่จัดการทำความสะอาดพื้นที่ หรือจ่ายค่าชดเชยอย่างเป็นทางการให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ หลังจากพยายามฟ้องร้องต่อศาลในประเทศไนจีเรียเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดประชาชนในเมืองโบโดก็ตัดสินใจฟ้องคดีต่อศาลในสหราชอาณาจักร
 
“เราพบหลักฐานมากขึ้นมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เลวร้ายของเชลล์ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์” Patrick Naagbanton ผู้ประสานงาน CEHRD กล่าว “เชลล์ดูเหมือนจะสนใจประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพตนเองมากกว่าจะมุ่งชำระล้างมลพิษ ปัญหาจะยังไม่หมดไป รวมทั้งความทุกข์ยากของประชาชนในเมืองโบโด”
 
ในสัปดาห์นี้ นักกิจกรรมหลายพันคนจากกว่า 15 ประเทศ ตั้งแต่ญี่ปุ่นจนถึงสวีเดน เซเนกัลจนถึงสหรัฐฯ รวมทั้งที่ประเทศที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทเชลล์คือเนเธอร์แลนด์กับสหราชอาณาจักรเอง และที่ประเทศไทย (ในวันที่ 27 เมษายน) พวกเขาจะเข้าร่วมในกิจกรรมและการประท้วง ทั้งที่จัดขึ้นหน้าสำนักงานและปั๊มน้ำมันเชลล์ เพื่อเรียกร้องให้เชลล์แก้ไขความผิดพลาดจากการกระทำของตนเองที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์
 
ที่สำคัญสูงสุดในสัปดาห์นี้คือการชุมนุมประท้วงอย่างสงบของชุมชนที่ได้รับผลกระทบนอกสำนักงานบริษัทเชลล์ที่ Port Harcourt ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net