Skip to main content
sharethis

เวลา 13.00 น. วันที่ 14 พฤษภาคม 2555 นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การเสริมสร้างสันติสุข รุ่นที่ 2 สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้าเสนอผลการศึกษาเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในงานเสวนา “สันติธานี : วิถีวัฒนธรรมสู่ทางออกชายแดนใต้”  ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นท์ กรุงเทพฯ

ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้ากล่าวเปิดงานสัมมนาโดยกล่าวชี้แจงว่านักศึกษาหลักสูตรนี้ในรุ่น 2 ได้เสนอแนะการพัฒนารูปแบบการบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ 3 แห่ง คือการบริการในสถานพยาบาล โรงเรียนและสถานีตำรวจ  รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าในรุ่น 1  

ดร.บวรศักดิ์อธิบายว่าการศึกษาดังกล่าวเกิดจากการลงพื้นที่ของนักศึกษาซึ่งมีทั้งสิ้น 90 คนเป็นเวลาสิบเดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2553 โดยได้สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องและหาข้อมูลจากพื้นที่ ตลอดจนการถกเถียงระหว่างนักศึกษากันเอง จนสามารถหารูปแบบที่เป็นข้อเสนอดังกล่าวได้ แต่เนื่องจากพื้นที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนาที่เข้มข้นเป็นพิเศษ การศึกษาจึงมีความละเอียดและต้องใช้เวลาในวิเคราะห์พอสมควร ทำให้นักศึกษารุ่นนี้ มีผลสรุปออกมาช้ากว่าที่หลักสูตรกำหนด

“สถาบันพระปกเกล้าและนักศึกษาตระหนักดีว่าปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่อาจจะยุติลงหรือสร้างสันติสุขขึ้นได้ หากปราศจากความเข้าใจของคนในสังคมไทยโดยรวม ต่อปัญหาและแนวทางแก้ไข และด้วยความตระหนักดังกล่าว ความเข้าใจของสังคมไทยจะช่วยผลักดันให้ความรุนแรงลดลงและจะทำให้การดำเนินงานของภาครัฐและภาคประชาชนเกิดความสมดุลในที่สุด” ดร.บวรศักดิ์กล่าว

นักศึกษาที่เป็นตัวแทนนำเสนอในงานดังกล่าวประกอบด้วย แพทย์หญิงเพ็ชรดาว โต๊ะมีนา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตเขต 15 กระทรวงสาธารณสุข นางสาวนารี เจริญผลพิริยะ ประธานคณะทำงานสันติอาสาสักขีพยาน นายสมปอง อินทร์ทอง รองเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ อดีตนายกเทศมนตรีนครยะลา นายไพศาล อาแซ ผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามดาราวิทย์ นายสมโภช สุวรรณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง

นายสมปองนำเสนอว่า คนมักจะเข้าใจผิดว่าคนสามจังหวัดต้องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งหลังจากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังข้อเสนอจากพื้นที่ ปรากฏว่าไม่มีแนวคิดนั้นอยู่  ชาวบ้านเพียงแต่ต้องการได้รับความเคารพในวิถีปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม

นายสมปองกล่าวว่าสถานบริการขั้นพื้นฐานของรัฐเป็นจุดที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกไม่ได้รับความเคารพ จึงมุ่งเสนอการปรับการบริการดังกล่าว โดยเฉพาะสถานบริการสามแห่งที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด คือ โรงพยาบาล โรงเรียนและสถานีตำรวจ

โรงพยาบาลควรจะมีการให้บริการที่สอดคล้องต่อวิถีวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ เช่น การเอื้อให้มีการอาบน้ำละหมาดแก่ผู้ป่วยอาการสาหัส การอ่านอัลกุรอานแก่ผู้ป่วย ฯลฯ

แพทย์หญิงเพ็ชรดาวกล่าวว่าปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณะสุขของประชาชนสามจังหวัดชายแดนใต้ มีมานานหลายศตวรรษ  โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการที่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเสียชีวิตลง ซึ่งวัฒนธรรมและศาสนาไม่สามารถแยกออกจากวิถีชีวิตมุสลิมได้ 

จากการพบปะพูดคุยกับผู้ใช้บริการสาธารณสุขทั่วประเทศ พบว่าชาวบ้านต้องการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น เช่น การสื่อสารด้วยภาษาที่ท้องถิ่นเข้าใจได้จะสร้างความรู้สึกเป็นมิตร  หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ต้องการผู้ให้บริการที่เป็นผู้หญิง เพื่อความสบายใจในการให้บริการ  การคลอดในโรงพยาบาลอยากให้มีโต๊ะบีแด (หมอตำแย) อยู่ในห้องรอคลอดและหลังคลอด

นายไพศาลนำเสนอว่าที่ผ่านมาผู้ปกครองบางคนปฏิเสธไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ เนื่องจากเกรงว่าการเข้าโรงเรียนรัฐจะทำให้เด็กลืมอัตลักษณ์ของคนมลายูมุสลิม จึงขอเสนอว่าโรงเรียนจะต้องทำให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมของชาวบ้านในพื้นที่ เน้นคุณธรรม จริยธรรมและวิถีวัฒนธรรมของพื้นที่

น.ส.นารีเสนอว่าความเป็นธรรมในโรงพักเป็นประเด็นที่มีการเรียกร้องมากที่สุดเรื่องหนึ่ง  การเลือกปฏิบัติทำให้เกิดความคับข้องใจในหมู่ประชาชนซึ่งจะต้องแก้ไขด้วยการยึดหลักดังต่อไปนี้ 1) หลักนิติธรรม 2) ความโปร่งใส 3) การมีส่วนร่วมของประชาชน 4) ความรับผิดชอบไม่ปกป้องคนผิด 5)หลักคุณธรรม จริยธรรม 6) หลักความคุ้มค่า ซึ่งหมายถึงว่า ถ้าตำรวจใช้ทรัพยากรอย่างไม่สิ้นเปลือง การเบียดเบียนประชาชนจะไม่เกิดขึ้น 7) ความเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น

น.ส.นารีนำเสนออีกว่า บรรยากาศของสันติธานีจะต้องไม่มีกฎหมายพิเศษ  ควรยกเลิกกฎอัยการศึกและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งการถอนทหารออกจากพื้นที่ด้วย

นายสมโภชนำเสนอประเด็นเศรษฐกิจชุมชนว่าชุมชนจะเข้มแข็งได้ต้องเกิดจากการมีกลไกในการจัดการปัญหาที่ดี มีผู้นำที่เป็นที่พึ่งได้ทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ผู้นำศาสนา และผู้นำธรรมชาติ เมื่อประชาชนมีผู้นำที่เข้มแข้ง บริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม จะทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าปัญหาของตนจะได้รับการแก้ไขซึ่งสิ่งเหล่าจะส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชน และท้ายที่สุดจะนำไปสู่การจัดการความไม่สงบในพื้นที่ และเมื่อชาวบ้านเข้มแข็ง พวกเขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ไม่หวังดี

นายพงษ์ศักดิ์ได้นำเสนอประเด็นการตั้งสภาพลเมือง เพื่อเป็นกลไกในการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการจัดการปัญหา โดยมีผู้นำ 4 เสาหลักมาเป็นตัวเสริมให้กลไกเข้มแข็งขึ้น โดยสภาพลเมืองจะประกอบด้วย ผู้นำท้องถิ่น ซึ่งหมายรวมถึง ฝ่ายบริหารทั้งหมดในท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ที่มาจากการเลือกของประชาชนเอง เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ผู้นำศาสนาหรือผู้นำจิตวิญญาณ และผู้นำธรรมชาติ ผู้นำเหล่านี้จะมาสร้างความเข้มแข็งในข้อเสนอประชาชนเพื่อส่งต่อในระดับบริหารที่สูงขึ้นไป

“เมื่อข้อเสนอจากประชาชนได้รับการตอบสนอง ประชาชนจะรู้สึกว่าปัญหาถูกรับรู้และตอบสนอง จะช่วยลดความไม่เชื่อมั่นที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

ส่วนผู้มาวิจารณ์งานศึกษาในครั้งนี้ได้แก่นายดมัย มู่สา ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้และชนต่างวัฒนธรรม สภาความมั่นคงแห่งชาติ พลตรีนักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานปฏิบัติการที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นายปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนภาคใต้ และนายประสิทธิ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้

ผู้วิจารณ์ต่างมีความเห็นร่วมกันว่าข้อเสนอของนักศึกษาที่ได้กล่าวมานี้เป็นรูปธรรมซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้เลยและเชื่อว่าจะสามารถลดเงื่อนไขความรุนแรงในพื้นที่และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น

นายปิยะกล่าวว่าการแก้ปัญหาในพื้นที่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหรือปัจจัยสามข้อ คือ 1) สิ่งที่กำลังจะขับเคลื่อนแก้ไข ผู้ที่กำลังจะลงมาทำมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ หรือเปล่า  เช่น การทำงานในโรงเรียน ครูที่จะลงไปสอนมีความรู้จริงหรือเปล่า มีความเสียสละหรือเปล่า 2) การมีส่วนร่วมของชาวบ้านมาร่วมคิด ร่วมทำ ประเมิน ทบทวน มากน้อยแค่ไหน การมีส่วนร่วมของประชาชนมีความสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ 3) การยอมรับในพื้นที่ มีมากน้อยแค่ไหน  สามประเด็นนี้เป็นสูตรที่อยากให้ทางทีมศึกษานำไปพิจารณาในดำเนินการตามโมเดลสันติธานี 

นายประสิทธิ เมฆสุวรรณ กล่าวว่านอกจากดำเนินการในเรื่องความคับข้องใจของประชาชนแล้ว รัฐยังควรจะต้องทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหยุดฆ่าประชาชนด้วย ซึ่งสิ่งที่ยังไม่มีใครทำเลยคือการจัดการกับความคิดของกลุ่มที่ยังหวังจะแบ่งแยกดินแดน ซึ่งมีอยู่จริง

ภาคประชาสังคมจังหวัดชายแดนใต้ พยายามจะเปิดพื้นที่กลางที่นำคนที่คิดต่างสุดขั้วมาพูดคุยว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วมาช่วยกันหาวิธีการนำความต้องการของเขาให้ปรากฏเป็นจริง โดยลดการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ งานเหล่านี้ยังมีคนสนใจน้อยมากและรัฐควรจะทำ

 

 

หมายเหตุ: สำหรับผู้สนใจอ่านรายงาน “สันติธานี : วิถีวัฒนธรรมสู่สันติสุขชายแดนใต้” ฉบับเต็ม ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.deepsouthwatch.org/node/3207#en

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net