Skip to main content
sharethis

ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษจำคุก "สนธิ ลิ้มทองกุล" หมิ่นประมาท "นพดล ปัทมะ" จาก 6 เดือนเป็น 3 เดือน เนื่องจากจำเลยเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นปราศรัยไม่เคยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ประกอบกับมีอายุมากแล้ว ต้องเลี้ยงดูครอบครัว จึงสมควรลดโทษให้น้อยลง

วันนี้ (19 ก.ย. 55) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะผู้ดำเนินรายเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศทางสถานี ASTV บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม กับพวก เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2550 จำเลยทั้ง 8 ได้ร่วมกันจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” กระจายภาพ ผ่านสื่อโทรทัศน์เครือข่ายสัญญาณดาวเทียมเอเอสทีวี และผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยนายสนธิจำเลยที่ 1 กล่าว ในรายการทำนองว่า นายนพดล เป็นคนทรยศต่อทุนหลวง มีจำเลยที่ 2 ถึง 8 บันทึกภาพและเสียงและเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีเจตนาใส่ความโจทก์เพื่อให้เสียชื่อเสียง และถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

สำหรับคดีนี้ ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำคุกนายสนธิ เป็นเวลา 6 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 และ 6 ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน คนละ 2 หมื่นบาท และจำเลยที่ 1, 2 และ 6 ให้ลงโฆษณาคำพิพากษาย่อ ลงในหนังสือพิมพ์รายวัน จำนวน 3 ฉบับ เป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน และยกฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 5, 7 และ 8

โดยวันนี้ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินว่า การที่นายสนธิ ลิ้มทองุล พูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ หาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดี เทียบกับสุนัขทองแดงไม่ได้ เป็นการใส่ความให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเป็นข้อความที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ กฎหมายจึงต้องห้ามไม่ให้นำสืบแก้ ส่วนข้อความว่าโจทก์เป็นทนายความ แต่ทำนอกหน้าที่ เป็นคนสนับสนุนทักษิณ ศาลเห็นว่าหากจำเลยเห็นว่าโจทก์กระทำผิดอย่างไร ก็ควรไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ที่จำเลยอ้างว่า กระทำไปเพื่อปกป้องสถาบันนั้น ศาลเห็นว่าคนไทยมีหน้าที่ปกป้องสถาบัน แต่การแสดงออกของจำเลยต้องไม่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่น ที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าศาลชั้นต้นให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและอีกหลายฉบับหลายวันเป็นการสิ้นเปลืองเกินความจำเป็น ศาลเห็นว่า แม้จะหมิ่นประมาทผ่านทางเว็บไซต์และวิทยุทีวี แต่การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ยังมีความจำเป็น แต่ให้ลดลงจาก 7 วัน เหลือ 3 วัน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 และ 6 ที่เป็นนิติบุคคล ที่เผยแพร่ภาพเสียงคำพูดหมิ่นประมาท เป็นนิติบุคคลที่ต้องแสดงเจตนาผ่านผู้แทนนิติบุคคล แต่โจทก์ไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 3,4,5,7,8 ที่เป็นผู้แทนฯ มีเจตนาใส่ความโจทก์ด้วย ที่ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2-8

ส่วนนายสนธิ ขอลดโทษและรอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้การที่โจทก์แสดงออกถึงการปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ประชาชนบางส่วนเห็นด้วย บางส่วนไม่เห็นด้วย แต่การแสดงออกถึงความไม่พอใจต้องอยู่ในกรอบ คำกล่าวหาของจำเลยที่ 1 เป็นการใส่ความผู้อื่นให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังว่าเป็นคนไม่ดี ทำให้โจทก์เสียหายและเป็นการละเมิดสิทธิ์โจทก์ แต่ฟังได้ว่าจำเลยไม่เกิดรู้จักโกรธเคืองกับโจทก์เป็นการส่วนตัวมาก่อน และจำเลยเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ขึ้นปราศรัยไม่เคยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ประกอบจำเลยมีอายุมากแล้ว มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว จึงสมควรลดโทษให้น้อยลง จึงพิพากษาแก้ให้จำคุก 3 เดือน และลงให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชนรายวัน เป็นเวลา 3 วัน

ทั้งนี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความได้ยื่นคำร้องของประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์กรมธรรม์ประกันอิสรภาพวงเงิน 1 แสนบาท ขณะเดียวกันได้ยื่นคำร้องฎีกาคดีดังกล่าวด้วย

 
เรียบเรียงจาก ไทยรัฐออนไลน์ และ มติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net