แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานวิจารณ์ร่าง กม.ที่อนุญาตให้มีการไต่สวนแบบปิด และใช้หลักฐานลับซึ่งรัฐเห็นว่าอ่อนไหวต่อความมั่นคงในการพิจารณาคดีชั้นศาลได้ บอกว่า "ระบบยุติธรรมแบบลับๆ นี้ราวถอดแบบมาจากนิยายของคาฟคา"
15 ต.ค. 2012 - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล นำเสนอรายงานวิพากษ์วิจารณ์ร่างญัตติของคณะรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่เสนอให้มีการขยายการทำงานของ 'ศาลลับ' โดยบอกว่า "ระบบยุติธรรมแบบลับๆ นี้ราวถอดแบบมาจากนิยายของคาฟคา" (ฟรานซ์ คาฟคา นักเขียนผู้เขียนเรื่อง 'กลาย', 'คดีความ', 'แดนลงทัณฑ์')
รายงานของแอมเนสตี้อ้างว่าญัตติดังกล่าวที่เสนอให้มีการขยายผลการใช้หลักฐานลับ จะทำให้รัฐบาลสามารถอ้าง 'ความมั่นคงของชาตื' เพื่อทำให้เรื่องต่างๆ กลายเป็นความลับได้
กลุ่มองค์กรสิทธิพลเมืองได้เรียกร้องให้รัฐบาลผสมยกเลิกร่างกฎหมายความยุติธรรมและความมั่นคง ที่เสนอให้สามารถใช้ 'กระบวนการสืบวัตถุพยานลับ' (Closed Material Procedures หรือ CMPs) กับศาลแพ่งในอังกฤษ
กระบวนการดังกล่าวคือการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่นำเสนอข้อมูลที่มีความอ่อนไหวต่อศาลได้โดยไม่ต้องให้เหยื่อหรือโจทก์ทราบข้อกล่าวหาที่มีต่อตนทั้งหมด ซึ่งระบบนี้ได้นำมาใช้ในศาลฝ่ายความมั่นคงของอังกฤษแล้ว โดยในตอนนี้ยังไม่มีการระบุวันที่จะให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังสภาขุนนางซึ่งจะมีการโหวตในประเด็นนี้
ทางพรรคแรงงานซึ่งบอกว่าพวกเขายังไม่รู้สึกว่าควรจะมีการปฏิรูปกฎหมายตอนนี้ ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มเวลาอภิปราย
รายงานของแอมเนสตี้ ชื่อ 'Left in the Dark: the use of secret evidence in the UK' ประเมินว่ามีการใช้ CMPs แล้วในบริบททางกฎหมายต่างกัน 21 บริบท โดยอลิซ ไวสส์ จากแอมเนสตี้กล่าวว่ากระบวนการนี้เป็นภัยอย่างแท้จริงต่อหลักความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมที่เปิดเผยในอังกฤษ
"มันเป็นเรื่องแย่พออยู่แล้วที่กระบวนการลับได้รับอนุญาตนำมาใช้กับระบอบตุลาการ แต่รัฐบาลในตอนนี้พยายามขยายการใช้กระบวนการลับในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ไวสส์กล่าว
รายงานมีการสัมภาษณ์ผู้ที่เคยเผชิญกับกระบวนการลับนามสมมุติว่า G อายุ 43 ปี ผู้ที่ถูกกฎหมายสั่งให้เนรเทศไปอยู่แอลจีเรียเป็นเวลา 10 ปี บอกว่า "ผมต้องการความยุติธรรม ต้องการโอกาสในการปกป้องตนเอง ในกระบวนการที่มีความยุติธรรม...ผมไม่มีสิทธิจะรู้ด้วยซ้ำว่าหลักฐานที่รัฐใช้อ้างดำเนินคดีกับผมคืออะไร"
ชายอีกคนหนึ่งมีนามสมมุติว่า BB บอกว่า "คดีกล่าวหาผมหรือ? ผมเห็นแค่ชั่วแว๊บเดียวเท่านั้น ผมรู้มาไม่มากพอที่จะอธิบายด้วยซ้ำ มันเป็นการพิจารณาคดีแบบปิด ผมเข้าไปไม่ได้ ทนายของผมเข้าไปไม่ได้"
แอมเนสตี้สรุปว่า การใช้หลักฐานลับเสนอต่อศาลที่พิจารณาคดีแบบปิด เป็นการขัดแย้งต่อหลักการความเที่ยงธรรมที่มีมานานในกฎหมายอังกฤษและขัดแย้งต่อหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
"สำหรับคนที่ถูกดำเนินคดีด้วยกระบวนการลับนี้ ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างใหญ่หลวง ตั้งแต่การถูกลิดรอนเสรีภาพ, ต้องพลัดพรากจากครอบครัว, ถูกส่งกลับไปยังประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง ... แม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่อผลกระทบอย่างมาก กระบวนการสืบวัตถุพยานลับทำให้ยิ่งยากในการที่บุคคลที่โดนซัดทอดโดยหลักฐานลับจะสามารถแก้ต่างในคดีของรัฐบาลได้"
"กระบวนการสืบพยานลับเป็นความล้มเหลวต่อการเคารพในหลักการความยุติธรรมที่โปร่งใส ...หากร่างกฎหมายความยุติธรรมและความมั่นคงถูกนำมาบังคับใช้ในรูปแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็เสี่ยงต่อการทำให้กระบวนการลับกลายเป็นบรรทัดฐานที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิในการรับพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และสิทธิในการรับการเยียวยาของเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน"
รัฐบาลอังกฤษแย้งว่า การใช้ศาลลับจะไม่ทำให้การพิจารณาคดีใดๆ ที่เป็นการพิจารณาแบบเปิดเปลี่ยนไปเป็นการพิจารณาคดีแบบปิด และให้ข้อพิพาทเรื่องความมั่นคงของชาติมีการโต้แย้งกันในศาลได้
โฆษกคณะรัฐมนตรีกล่าวว่า "จุดที่แอมเนสตี้ไม่เข้าใจคือในตอนนี้ไม่มีใครเลย ไม่ว่าจะเป็นโจทก์ หรือทนายของพวกเขา หรือผู้พิพากษา จะสามารถพึ่งพาหลักฐานที่มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติได้"
"ผลที่เกิดคือ คดียุบไป แล้วพวกเราก็ไม่สามารถดำเนินคดีที่มีการกล่าวหาอย่างร้ายแรงต่อรัฐไปจนสุดได้"
"กฎหมายความยุติธรรมและความมั่นคงจะช่วยแก้ปัญหานี้ โดยสามารถให้นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งถูกห้ามในกฎปัจจุบัน นำมาใช้ในกระบวนการลับได้"
"กระบวนการยุติธรรมแบบลับอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างอุดมคติ แต่ก็ดีกว่าเมื่ออีกทางหนึ่งคือความเงียบ"
ที่มา:
Secret courts plan criticised as 'Kafkaesque' by Amnesty, The Guardian, 15-10-2012
http://www.guardian.co.uk/law/2012/oct/15/secret-courts-plan-kafkaesque-amnesty