Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4  ส่วนหน้า ได้ประกาศผลความสำเร็จในการทำงานเพื่อยุติการใช้ความรุนแรงด้วยวิธีการอบรมแทนการดำเนินคดี ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยมีผู้จบหลักสูตรการอบรมมาแล้วสองคน คือ นายรอยาลี บือราเฮง และนายยาซะ เจะหมะ ทั้งสองคนเป็นผู้ต้องหาและได้รับสารภาพในความผิดที่ถูกกล่าวหา โดยยอมรับว่ากระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และยินยอมเข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 แทนการถูกดำเนินคดี

นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีและเป็นการสร้างบรรยากาศที่จะเอื้อให้หลายคนที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มของขบวนการก่อความไม่สงบอย่างหลงผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้มีช่องทางหรือหาทางออกให้กับตัวเอง

กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้ฉีกแนวกว่ากฎหมายพิเศษที่ใช้บังคับมาแล้ว ทั้งกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเปิดพื้นที่ให้ผู้กระทำความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงแต่กลับใจได้มีโอกาสเข้ามอบตัว หรือในกรณีที่พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนแล้วพบว่าผู้ต้องหานั้นๆกระทำไปเพราะหลงผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งเห็นว่าการกลับใจของผู้นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคง ในกรณีอย่างนี้ หากผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.กอ.รมน.) เห็นชอบ ก็สามารถส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาล และหากศาลเห็นสมควร เมื่อสอบถามผู้ต้องหาแล้วสมัครใจเข้าร่วมอบรม ก็อาจสั่งให้ผู้ต้องหานั้นเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนดไว้เป็นเวลาไม่เกินหกเดือนแทนการถูกดำเนินคดี

ผลในทางกฎหมายในกรณีนี้ คือ สิทธิในการนำคดีมาฟ้องเกี่ยวกับความผิดตามข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นอันระงับไป ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวผู้ต้องหาเอง

เจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นต้องการให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงหรือผู้ที่มีหมายจับ ไม่ว่าจะเป็นหมายจับตามพรก.ฉุกเฉินหรือตามป.วิอาญาได้เข้าสู่กระบวนทางกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อที่จะยุติการก่อเหตุรุนแรงหรือการก่อความไม่สงบ อันเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับการสร้างบรรยากาศหรือเปิดพื้นที่ให้กับคนที่มีความเห็นต่างได้มีโอกาสเข้ามาให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นความปรารถนาดีของรัฐที่มีต่อฝ่ายที่หลงผิดและเข้าสู่ขบวนการ ไม่ว่าที่ยังอยู่ในพื้นที่หรือที่กำลังหลบหนีก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้ยุติทั้งความคิดและการกระทำ  

เท่ากับว่ารัฐได้เปิดหนทางให้แล้ว และหากพวกเขาเข้าสู่กระบวนการนี้ก็มีโอกาสที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในกรณีที่ไม่มีอาชีพ ทางการก็อาจหาอาชีพให้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือขอให้ยุติการก่อเหตุรุนแรง หยุดสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมือง ร่วมกันพัฒนาชาติและสร้างสันติภาพในพื้นที่ต่อไป

แต่ข้อสรุปนี้จะเป็นความคาดหวังที่ยังห่างไกลความจริงของรัฐหรือไม่ เพราะเมื่อดูทางฝ่ายขบวนการแล้วยังไม่ปรากฏสัญญาณใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการตอบรับการหยิบยื่นทางออกเช่นนี้ให้  จะเห็นว่า ทุกครั้งที่ปรากฏเหตุการณ์ความรุนแรง  ก็มีการคาดเดาเอาว่าเป็นการตอบโต้ของขบวนการ เหตุผลที่มักพูดกันก็คือเพราะฝ่ายขบวนการเห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังทำงานประสบผลสำเร็จ มีประชาชนให้ความร่วมมือมากขึ้น เช่นมีตัวอย่างจากการที่มีแกนนำระดับปฏิบัติการที่เคยอยู่ร่วมขบวนการเข้ามอบตัว (ดังเช่นกรณี 93 คนที่มามอบตัวที่คณะกรรมการอิสลามนราธิวาส) เพราะทนกับแนวทางการทำงานของขบวนการไม่ได้ จึงขอยุติการใช้อาวุธเพื่อจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ความสำเร็จของฝ่ายรัฐดังว่านี้ ว่ากันว่าทำให้กลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรงไม่พอใจและออกมาพยายามเรียกคนหรือเรียกคะแนนคืนด้วยการสร้างเหตุรุนแรงต่อเนื่องไม่เลิก

เหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อย่างเข้าสู่ปีที่ 10 นี้ ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐที่มีทหารเป็นฝ่ายนำ กับฝ่ายขบวนการที่ไม่มีตัวตนและไม่เปิดเผยตนเอง รัฐได้ทุ่มเททั้งงบประมาณและกำลังพลเข้ามาในพื้นที่สามจังหวัด ในขณะที่ฝ่ายขบวนการแทบจะไม่ได้ลงทุนอะไรมากนัก อาศัยอุดมการณ์การต่อสู้โดยใช้ศาสนาและประวัติศาสตร์ในการปลูกฝังจิตวิญญาณ โดยมีชีวิตของคนในสามจังหวัดเป็นตัวประกัน 

ต่างฝ่ายต่างต่อสู้ทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ช่วงชิงการนำมวลชน และแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่า โดยใช้วิธีการทุกอย่าง ประชาชนในสามจังหวัดจึงอยู่ระหว่างเขาควาย ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็มีสิทธิที่จะถูกทิ่มแทงทั้งสิ้น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฝ่ายรัฐมีอำนาจที่จะกำหนดทั้งทางการทหารและการเมือง ยิ่งมีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ ยิ่งเป็นแรงเสริมให้การใช้อำนาจมากขึ้น  แต่ดูเหมือนยิ่งใช้อำนาจมากเท่าใดก็ยิ่งเปิดจุดอ่อนที่กลับไปช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายขบวนการมากขึ้นเท่านั้น เพราะข้อสรุปที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ กฎหมายอาจเป็นเครื่องมือในปราบปรามอาชญากรรมและควบคุมสังคมได้ก็จริง แต่สำหรับการต่อสู้กับอุดมการณ์ ความคิดและจิตวิญญาณนั้น การใช้อำนาจทางกฎหมายอย่างเดียวไม่น่าจะได้ผล

เพราะอีกฝ่ายมองว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐ แต่สำหรับเขาแล้วทั้งความคิดและการกระทำ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าไม่ยอมรับอำนาจรัฐตั้งแต่แรกแล้ว

การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงกำลังจะกลายเป็นสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าการใช้กฎหมายพิเศษทั้งสองฉบับคือทั้งกฎอัยการศึกและพ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นล้มเหลว แม้เจ้าหน้าที่จะประกาศมาโดยตลอดว่าประสบผลสำเร็จ

อันที่จริงแล้วการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับในอำนาจรัฐ เป็นเรื่องเดียวกันกับความชอบธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย  และเป็นเรื่องเดียวกันกับการสร้างบรรยากาศหรือเปิดพื้นที่ให้คนที่มีความคิดต่างกลับเข้ามาร่วมมือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการในเวลาเดียวกัน

การบังคับใช้กฎหมายที่มุ่งแต่เพียงให้ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ จึงเป็นการทำลายความชอบธรรมของตัวกฎหมายเอง เพราะการใช้อำนาจของรัฐต้องอาศัยกฎหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อใดที่เจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเสียเอง หรือใช้อำนาจตามกฎหมายไปละเมิดสิทธิหรือปฏิบัติจนเกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจที่จะกระทำได้ การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปกับการทำลายกฎหมายที่ให้อำนาจมานั่นเอง  

จากการใช้กฎหมายพิเศษที่ผ่านมาพบว่ามีปัญหามากมาย  แม้เจตนารมณ์ของกฎหมายจะดี แต่ฝ่ายที่นำกฎหมายไปปฏิบัติต้องเข้าใจเจตนารมณ์ ระวังไม่ให้การใช้กฎหมายกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่สร้างปัญหาให้คนในพื้นที่ จริงอยู่ที่ว่า หลักการของกฎหมายให้โอกาสกับผู้ที่กระทำความผิดได้มีช่องทางในการที่จะเข้าสู่กระบวนการอบรม แทนที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่เรื่องนี้ควรใช้กับผู้ที่กระทำความผิดจริงแต่หลงผิดเพราะถูกชักจูง หรือได้กระทำเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ ที่สำคัญต้องเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ต้องหาเองด้วย เพราะเป็นสิทธิทางกฎหมายที่คุ้มครองตัวเขาเอง

หากผู้ต้องหาไม่ยอมเข้าร่วมก็ควรจะยอมรับในการตัดสินใจของพวกเขา ไม่พึงใช้วิธีการคุกคามจนผู้ต้องหาหรือครอบครัวไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติสุขได้ ไม่ควรปฏิบัติต่อผู้ต้องหาโดยไม่ให้เกียรติและไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  หรือแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ยอมเข้าร่วมกับผู้ที่ไม่ยอมเข้าร่วม เพื่อแสดงตัวอย่างให้บุคคลอื่นได้เห็นอันเป็นลักษณะของการบังคับในทางอ้อม

ที่สำคัญต้องใช้กฎหมายฉบับนี้กับผู้ที่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าได้กระทำความผิดจริง ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ หรือพยานเอกสาร ไม่ใช่ว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกบังคับให้รับสารภาพหรือถูกซัดทอดจากบุคคลอื่น หรือว่าถูกออกหมายจับอันมาจากข้อมูลทางการข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ซึ่งในหลายกรณีเป็นผลสืบเนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

และในกรณีที่เขาขอใช้สิทธิในการต่อสู้คดี  ควรที่จะเปิดโอกาสหรือให้ความสะดวกกับผู้ต้องหาได้พิสูจน์ความผิดของตนเอง และใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่  ทั้งหมดนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอดีตที่ให้บทเรียนมาแล้ว

หวังว่ากฎหมายความมั่นคงจะไม่สร้างปัญหาเหมือนที่ผ่านมา มิฉะนั้นแล้วก็อาจจะต้องมานั่งออกแบบกฎหมายในสามจังหวัดกันต่อไปอย่างไม่จบสิ้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net