Skip to main content
sharethis

คำบอกเล่าของแม่และเพื่อนผู้ใกล้ชิดถึงชะตากรรมของนักโทษการเมืองหนุ่มวัย 31ปี จากอุดรธานีทีแม้แต่ระบบที่เขาต่อสู้ปกป้องก็ไม่สามารถหยิบยื่นอิสรภาพให้กับเขาได้

เดิมทีวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555 นางทองมา รักสงวนศิลป์ มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมนายวันชัย รักสงวนศิลป์ ที่เรือนจำหลักสี่ ในช่วงเช้าของวันนั้น เธอเดินทางมายังอำเภอเมืองอุดรธานีเพื่อจองตั๋วรถไฟฟรี อุดรธานี – กทม. เที่ยวเวลา 20.30 น. จากนั้นเดินทางกลับบ้านที่อำเภอหนองหารอีกรอบเพื่อทอดเนื้อและจัดเตรียมอาหารอื่นๆ อีกหลายอย่างสำหรับนำไปฝากลูกชายและเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่นๆ 

เวลาประมาณ 15.00 – 16.00 น. ขณะที่จัดเตรียมสัมภาระอยู่ นายคงเดช ปัญญาทอง อดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองและแกนนำเสื้อแดงอำเภอหนองหารได้โทรศัพท์มาบอกนางทองมาว่านายวันชัยผู้เป็นลูกชายได้เสียชีวิตแล้ว

โดยนางทองมาได้เล่าถึงความรู้สึกในทันทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชายว่าเธอเสียใจมากแต่เธอทำแค่รวบรวมความกล้าหาญและอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้ได้เพราะสำหรับเธอนอกจากนายวันชัย ผู้เป็นลูกแล้วเธอไม่มีใครอีกแล้ว

นางทองมากล่าวทั้งน้ำตาว่า นับตั้งแต่นายวันชัยผู้เป็นลูกชายถูกจับ  ชีวิตเธอต้องเผชิญกับความสูญเสียและความเจ็บปวดมาตลอดเวลา  

“ทันทีที่เขาบอกลูกชายตาย น้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม แต่แม่ไม่ร้องไห้เป็นเสียงออกมา บอกตัวเองไว้เลย ว่าแม่ต้องใจแข็ง แม่ต้องไม่เป็นลม เพราะลูกไม่มีใคร ต่อมาก็มีคนโทรมาอีกหลายคนแต่ไม่มีใครกล้าบอกตรงๆ ว่าวันชัยตาย เพราะเขากลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป กลัวแม่จะเครียดจะคิดมาก แต่ตัวแม่เองทำใจได้ อดทนไหว เพราะนับตั้งแต่ลูกชายติดคุก แม่ต้องอยู่กับการสูญเสียตลอดเวลาอยู่แล้ว แม่ทนอยู่กับความเจ็บปวดได้ แม่อยู่กับความเจ็บปวดมามากแล้ว เพราะหลังจากลูกชายถูกตัดสินคดีแล้ว  ต่อมาเดือนพฤษภาคม ปี 55 แม่ได้แยกทางกับพ่อของนายวันชัยแล้วย้ายจากอุดรธานีไปทำงานอยู่ภาคใต้กับลูกสาว

มาเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน แม่ก็ถูกครอบครัวของพ่อนายวันชัยไล่หนี เขาให้แม่มารื้อบ้านออกจากที่ดินของเขา ถ้าแม่ไม่กลับมารื้อบ้านเขาจะเผาบ้านทิ้ง ทุกวันนี้แม่ต้องเอาเสาบ้าน เอาแป้นไม้ (แผ่นไม้กระดาน) ที่รื้อแล้วไปกองเก็บไว้ในที่ดินของญาติ แม่ยังไม่มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วนามสกุลรักสงวนศิลป์เขาบอกว่าไม่ให้ใช้แล้ว ลูกแม่ที่เป็นหลานของพวกเขาแท้ๆ เขายังให้ไปเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เขาไม่เข้าใจอะไร จดหมายด่วนส่งมาจากเรือนจำพวกเขายังไม่กล้ารับด้วยตัวเอง ต้องไปเรียกคนข้างบ้านมารับแทน ตอนยื่นเอกสารประกันตัววันชัยเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา พ่อของวันชัยก็ไม่ยอมเซ็นเอกสารให้ เขาไม่สนใจลูกเลย ตอนติดคุกอยู่ไปเยี่ยมแค่สองครั้งได้ ตอนตายแล้วพ่อและญาติฝ่ายพ่อไม่เคยมาร่วมงานศพ แต่พ่อเขาบอกว่าจะไปที่ กทม. ไปรับศพลูกด้วย แต่เขามาถูกรถชนขาหักต้องเข้าโรงพยาบาลเลยไม่ได้มา กทม. แม่ได้แต่หวังว่าวันเผาพวกเขาอาจจะมา”

หลังจากทราบข่าวนางทองมาได้เดินทางมายังอำเภอเมืองอุดรธานีเพื่อซื้อตั๋วรถไฟใหม่สองใบโดยได้เที่ยวประมาณ 19.00 น. เนื่องจากไม่สามารถอดทนนั่งรอจนถึงเวลารถไฟ(ฟรี)ที่ออกตอน 20.30 น. แม่ทองมาได้เดินทางไปกับนางสาวรัชฏา ทองทิพย์ ภรรยาของนายบัวเรียน แพงสา 1ในผู้ต้องคดีการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำหลักสี่ด้วยกัน แต่เนื่องจากรถไฟเกิดความขัดข้องนางทองมาจึงต้องเดินทางด้วยรถบัสที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดเตรียมให้เพื่อไปต่อรถไปที่สถานีรถไฟขอนแก่น แต่ในขณะที่รอขึ้นรถบัสนางทองมาได้เกิดอาการเครียดมากและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางทองมาและนางรัชฎาได้แต่นั่งจับมือร้องไห้อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟอุดรธานีจนสุดท้าย ด้วยความสับสนกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ถูกนางทองมาเลยไม่ได้เดินทางไปกับรถบัสของการรถไฟ และในระหว่างนั้นนายคงเดช ปัญญาทอง ได้โทรศัพท์มาถามข่าวและเมื่อทราบว่านางทองมาอยู่ในอาการเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก เวลาประมาณ 20.00 น. นายคงเดชจึงขับรถส่วนตัวออกจากบ้านพักเพื่อมารับนางทองมาจากสถานีรถไฟอุดรธานีและออกเดินทางไปถึง กทม.

เมื่อเดินทางมาถึงกทม.ในเวลา 08.00 น. ของวันที่ 28 ธันวาคม นางทองมายังไม่สามารถดำเนินการอะไรเกี่ยวกับนายวันชัย ได้ นางรัชฏาจึงได้เข้าเยี่ยมนายบัวเรียน แพงสา เพื่อสอบถามรายละเอียดเหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของนายวันชัย ทำให้ทราบว่า ช่วงเช้าของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ได้มีกิจกรรมแข่งกีฬาในเรือนจำ หลังจากแข่งกีฬาเสร็จผู้ต้องขังได้มาพักรับประทานอาหารกลางวัน จากนั้นนายวันชัยได้ลุกขึ้นไปล้างหน้าและหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะหงายหลังล้มลงหมดสติทันทีต่อหน้าเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่นๆ โดยมีนายบัวเรียนได้เข้าไปปั้มหัวใจอยู่นานพอสมควรก่อนที่นายวันชัยจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเจ้าหน้าที่เรือนจำและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากรับศพนายวันชัยแล้วนางทองมาได้นำศพลูกชายเดินทางกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดเรืองชัย ตำบลพังงู อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งปรากฏนายขวัญชัย ไพรพนากับทีมงานประมาณ 4 คนได้มารออยู่ที่วัดก่อนแล้ว โดยนายขวัญชัยมาเพื่อบอกนางทองมาให้เผาศพนายวันชัยในวันรุ่งขึ้น โดยอ้างประเพณีความเชื่อของคนอีสานว่าการเก็บศพข้ามปีไม่เป็นมงคล แต่นางทองมาอยากตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพื่อให้ญาติพี่น้องและคนเสื้อแดงได้เดินทางมาร่วมงาน เธอจึงไปเจรจากับเจ้าอาวาสวัดเพื่อขอตั้งศพบำเพ็ญกุศล ซึ่งเจ้าอาวาสอนุญาตให้ตั้งได้ 4 คืน โดยมีนายขวัญชัย ไพรพนา เป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพในคืนแรก (30 ธันวาคม พ.ศ. 2555) และคณะนายอำเภอหนองหารเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพใน 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ส่วนการสวดอภิธรรมศพในคืน 1 มกราคม พ.ศ. 2556 มีคณะเครือญาติเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ บรรยากาศงานสวดอภิธรรมศพมีคนเสื้อแดงเข้าร่วมงานบางตา โดยส่วนมากเป็นเครือข่ายผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่ศาลชั้นต้นได้ตัดสินยกฟ้อง  ซึ่งนอกจากมาร่วมงานสวดอภิธรรมแล้วยังได้นอนอยู่เป็นเพื่อนนางทองมาที่ศาลาวัดเรืองชัยด้วย ด้านแกนนำคนเสื้อแดงพบว่ามีเพียง  นายคงเดช ปัญญาทองแกนนำเสื้อแดงอำเภอหนองหาร และ ส.ส. ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงและ ส.ส.คนอื่นในจังหวัดอุดรธานีไม่ได้เดินทางมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพด้วย

นายมงคล ชมคุณ อดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองได้เล่าถึงความอัดอั้นตันใจที่มีต่อกระบวนการตัดสินคดีว่าศาลใช้ดุลพินิจอะไรในการตัดสินว่า

“ในความเข้าใจของผมคนที่จะถูกตัดสินว่าเผาสถานที่ราชการต้องมีพฤติกรรมการเทน้ำมันราดและจุดไฟเผาจนไหม้ แต่คนที่ถือถังเฉยๆไม่ได้เอาไฟไปจุดเผา  ศาลควรจะตัดสินแค่ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่นี่ไปลงโทษเขาว่าเผาสถานที่ราชการแล้วตัดสินจำคุก 20 ปี  ทำเกินไปไหม แล้วถามรัฐบาลหรือ นปช. เคยสนใจไหม แล้วทุกวันนี้รัฐบาลยังเอาเงินเยียวยามาหลอกล่อพวกเรา บอกว่าจะจ่ายค่าชดเชยคนละเป็นล้าน แต่รัฐบาลเคยถามบ้างไหมว่าคนที่ถูกขังคุกเขาต้องการอะไร ผมบอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ต้องการเงินล้าน แต่เขาต้องการอิสรภาพ เขาอยากกลับบ้านมานอนกอดเมียกอดลูกมากกว่า

อย่างตอนนี้ที่ไปฟังคำตัดสินคดีของศาลชั้นต้น พวกเราทุกคนเดินทางออกจากบ้านไปขึ้นศาลด้วยความเชื่อมั่นว่าคำตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทย รัฐบาลของเราต้องสามารถประกันตัวพวกเราออกมาเพื่อต่อสู้คดีได้แน่นอน แต่ปรากฎว่าไม่ใช่  พวกเราหลายคนต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกรอบ ขณะที่แกนนำกลับได้รับการประกันตัวออกมาจนหมด แล้วมาวันนี้ถ้าวันชัยไม่ตายคนอย่าง อ.ธิดา หมอเหวง ผมถามว่าเดี๋ยวนี้มีไหมที่จะสนใจลิ่วล้อแบบเรา ขนาดประชา(รมว.ยุติธรรม ประชา พรหมนอก) เป็นคนอุดรแท้ๆ อยู่ตำแหน่งสำคัญด้วยยังช่วยเหลือพวกเราออกมาไม่ได้ แม้แต่งานศพวันชัยจัดอยู่ที่อุดร เขายังไม่เคยเข้ามาร่วมงานด้วยซ้ำ”

นายสมจิต อารีย์ และนางปาริชาติ จวงจันทร์ สองสามีภรรยาอดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองได้ขับรสบัสพาเครือข่ายครอบครัวผู้ต้องขังมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพได้กล่าวทั้งน้ำตาพร้อมทั้งโชว์จดหมายที่นายวันชัย รักสงวนศิลป์ได้เขียนจากเรือนจำหลักสี่มาอวยพรปีใหม่ โดยนางปาริชาติได้กล่าวว่า ได้รับจดหมายฉบับดังกล่าวในเวลา 10.20 น. และหลังจากเปิดอ่านด้วยความดีใจได้ประมาณ 10 นาที เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอดีตผู้ต้องขังว่านายวันชัยได้เสียชีวิตแล้ว

“ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนเราหมดความหวัง การต่อสู้ของพวกเราถูกทำให้ไม่มีความสำคัญ”

จากนั้นนางปาริชาติและนายสมจิตได้เดินเข้าไปยังศาลาวัดเพื่อไหว้ศพนายวันชัยพร้อมทั้งกล่าวว่า


 

“กิ้น (ชื่อที่ใช้เรียกคุณวันชัย) ป๋ากับแม่มาแล้วนะลูก หม่ามี๊มาด้วย คืนนี้จะมานอนด้วย พาหลานมาบวชให้ด้วยพรุ่งนี้ นับจากที่แม่ออกจากเรือนจำมา แม่ไม่เคยลืมลูกเลย เวลาไปเยี่ยมถามตลอดว่าอยากกินอะไร แต่ลูกไม่เคยบอกเลยว่าอยากกินอะไร ลูกเป็นคนดีเป็นคนขี้เกรงใจ วันนี้แม่เอารถบัสมาพาพรรคพวกเรามาด้วย”

นางสาวรัชฏา ทองทิพย์ ภรรยาของนายบัวเรียน แพงสา ผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำหลักสี่ กล่าวหลังจากเดินทางมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพในคืนวันที่  1 มกราคม  2556 ว่า

“ แม่แกไม่มีใครเลยนะ พวกหนูกับพวกเพื่อนของอ้ายวันชัยที่เขาออกจากคุกไปแล้วเลยต้องมาช่วยงาน มานอนเป็นเพื่อนแกจะอยู่กับแม่แกจนงานเผาเสร็จเลย จริงๆพวกเราอยากมากันตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่ไม่มีรถมาต้องรอพี่สมจิต(อดีตผู้ต้องขัง)เขาเลิกงานแล้วให้เขาพาขับรถมา คนเสื้อแดงอุดรที่ว่ามีมากก็ไม่เห็นมาเท่าไหร่ งานเงียบมากไม่สมกับว่าแกเป็นวีรชน แกนนำเสื้อแดงอุดรก็ไม่มา หนูก็ไม่เข้าใจว่าปีใหม่มีอยู่ทุกปีแล้วทำไมถึงไม่ช่วยงานพี่แกหน่อย

ตอนที่หนูไปรับศพพี่วันชัยเห็นแม่ที่ กทม. แกเสียใจมาก เรียกว่าเบลอจนทำอะไรไม่ถูก ข้าวปลาไม่ยอมกิน นอนก็ไม่หลับ แกคิดมากเรื่องลูกเสียชีวิต แกสงสารลูกมากเพราะไม่คิดว่าลูกจะมาตาย ใครจะคิดว่าเวลาวางแผนจะมาเยี่ยมลูกแล้วจะกลายเป็นว่ามารับศพลูกกลับบ้าน หนูยังไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นแบบนี้ คิดว่าจะมาเยี่ยมผัวมากอดผัวแต่ต้องมาเจอสภาพแบบนี้ เรียกว่าพวกในเรือนจำตอนนี้ขวัญเสียหมดแล้ว ตอนหนูไปเยี่ยม ผู้คุมเขาให้ลงมาแดนเยี่ยมทุกคน เขาก็ร้องไห้กันทุกคนไม่มีใครยิ้มออกซักคน

หนูสั่งข้าวผัดมาให้กินแม่ก็กินแค่คำเดียวเท่านั้นแหล่ะ สองคนเขารักมาก พี่คิดดูว่าตอนที่พวกนั้นยังถูกขังอยู่อุดรบ้านแกหนองหารอยู่ห่างจากเรือนจำเกือบห้าสิบกิโล แต่แกมาเยี่ยมพี่วันชัยเกือบทุกวัน พอมาถึงแกไม่ใช่มาตีตั๋วเข้าเยี่ยมตัวเปล่า แกต้องไปแวะตลาดก่อน ซื้อของกินฝากให้ลูกทุกวันไม่เคยขาด แล้วพอแกย้ายไปอยู่ภาคใต้ลูกก็ย้ายไปอยู่หลักสี่แล้ว แกยังอุตส่าห์มาเยี่ยมลูกได้ทุกเดือน แล้วลูกชายแกเวลาที่พวกหนูไปเยี่ยมมีแต่ถามข่าวว่าแม่เป็นอย่างไร แกเป็นห่วงแม่มากยิ่งหลังจากเลิกกับพ่อแล้วพี่วันชัยยิ่งเป็นห่วง 

 

ข้อมูลเบืองต้นเกี่ยวกับนายวันชัยและครอบครัว

 

วันชัย รักสงวนศิลป์  วัย31 ปี ชาว หนองหาร อุดรธานี อาชีพรับจ้างในภาคเกษตร ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553  บริเวณ สนามทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี วันชัยถูกนำไปสอบสวนยังค่ายทหารและถูกส่งตัวมาคุมขังยังเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานี ในขณะที่ นางทองมา รักสงวนศิลป์ ผู้เป็นมารดาไม่ได้รับการแจ้งข่าวการจับกุมจากหน่วยงานรัฐเลย และด้วยกังวลใจว่าลูกชายได้หายไป เธอและสามีจึงได้ออกตามหาลูกชายตามบ้านคนรู้จักและตามสถานที่ที่นายวันชัยเคยไปแต่ไร้วี่แวว โดยเธอไม่ได้เอะใจสักนิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เพราะโดยปกติเธอครอบครัวเธอไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง

ทองมาและสามี ตระเวนตามหานายวันชัยกระทั่งเวลาผ่านไป 7 วัน จึงมีชาวบ้านที่ฟังวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีท้องถิ่นได้มาแจ้งให้ทราบว่าเห็นลูกชายเธอปรากฏรวมในกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกจับ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอและสามีได้เดินทางไปสอบถามที่สถานีตำรวจ และสถานีวิทยุชุมชนด้วยตัวเองถึงได้ทราบว่านายวันชัยได้ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานีแล้ว

วันชัย ถูกแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ,ทำให้เสียทรัพย์, ขัดขวาง เจ้าพนักงาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ วันชัยได้เล่าถึงเหตุการณ์ให้ฟัง วันเกิดเหตุเขาได้ขับรถจักรยานยนต์ไปจอดยังสถานีวิทยุชุมชนใกล้บ้าน แล้วขึ้นรถกระบะมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี  โดยเขายืนอยู่ ณ จุดที่มีกระติกน้ำมันจำนวนหนึ่งวางอยู่  และเห็นว่าเกะกะจึงได้ยกออกไปวางให้เป็นระเบียบ  โดยมีคนเสื้อแดงที่เคยถูกจับและถูกยกฟ้องในคดีเดียวกันคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยตลอดเวลา  แต่ปรากฏว่าตำรวจได้กล่าวหาว่าเขาเป็นคนนำน้ำมันมาเผาสถานที่ราชการจึงถูกจับกุม

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ยกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์และขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ลงโทษข้อหาวางเพลิงอาคารศาลากลางหลังเก่า โดยให้จำคุก รวม  20 ปี 6 ด. และให้จำเลยร่วมกันชดใช้  57.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% /ปี

นับจากวันที่ถูกจับกุม จนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในเรือนจำ เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือนเศษ วันชัยมีโอกาสได้รับสิทธิในการประกันตัวในช่วงก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เป็นเวลาเพียง 2 เดือนเศษ

วันชัยเสียชีวิตในเรือนจำ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555

สำหรับทองมา มีอาชีพรับจ้างรายวันในร้านขายวัสดุก่อสร้าง เธอต้องยกอุปกรณ์ก่อสร้างทุกชนิดรวมทั้งกระสอบ ปูน อิฐ  ตั้งแต่เวลา  08.00 น. ถึงเวลาเย็น (เวลาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับลูกค้า) และบางวันต้องกลับบ้าน 20.00 น. เพราะต้องไปกับรถส่งของให้ลูกค้า เพราะเธอมีหน้าที่ยกของขึ้น – ลงรถ โดยได้ค่าจ้างวันละ 180 บาท ซึ่งแต่เดิมเป็นรายได้ที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในครอบครัว แต่ภายหลังจากที่นายวันชัยถูกคุมขังเธอต้องขาดงานบ่อยเพื่อไปเยี่ยมลูกชายเป็นประจำทุกอาทิตย์ นอกจากนี้ เธอยังต้องกันเงินส่วนหนึ่งสำหรับฝากเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกชายที่อยู่ในเรือนจำด้วย ทำให้บางครั้งเธอต้องหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องเพื่อนำมาเป็นค่าจ่ายที่จำเป็น

 

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53 ( ศปช.)

 

    ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เสื้อแดงอุดรตายคาเรือนจำ

 


 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net