มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเรียกร้องเนสท์เล่เก็บคืนคิทแคท หลังพบมีพลาสติกผสม

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเรียกร้องบริษัทเนสท์เล่เก็บคืนขนมเวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลตยี่ห้อคิทแคตออกจากชั้นวาง หลังพบว่ามีพลาสติกผสมในเนื้อช็อคโกแลต เรียกร้องให้ปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกันกับที่ทำในประเทศอื่นๆ

วันนี้ (2 เม.ย.56)  เวลา 14.00 น.  ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค และโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชนแถลงข่าวร้องขอความรับผิดชอบจากเนสท์เล่ให้มีการเรียกคืน คิทแคท ชั้งกี้ ออกจากชั้นวาง เช่นเดียวกับที่ทำในหลายประเทศที่เป็นข่าวไปแล้ว พร้อมชี้แจงแก่สาธารณะให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาและวิธีการแก้ไขของบริษัท

 

 

 

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ได้รับเรื่องจากการประชุมผู้บริโภคของเครือข่ายผู้บริโภคภาคเหนือเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พบ คิทแคท ชั้งกี้ ที่ซื้อจากห้างเทสโก้ โลตัส สาขาสิงห์บุรี มีพลาสติกผสมอยู่ในเนื้อช็อกโกแลตเคลือบขนมเช่นเดียวกับที่เป็นข่าวในต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมิได้จำกัดอยู่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่อาจจะมีความเสี่ยงแบบเดียวกันกระจายอยู่ในทุกที่ที่มีการจำหน่ายสินค้าชนิดนี้ 

หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางผู้ผลิตควรต้องแสดงความรับผิดชอบและใช้มาตรฐานเดียวในการดำเนินการ มากกว่าแค่รอให้เกิดเรื่องแบบเดียวกันขึ้นในประเทศอื่นแล้วค่อยแก้ไขปัญหาด้วยการคืนเงินค่าสินค้า การเรียกคืนสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมดควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะมีข้อมูลว่าพบสินค้าที่มีปัญหาแบบเดียวกันแล้ว”

“จากข่าวยังมีข้อมูลอีกว่ามีการเรียกคืนสินค้าในประเทศมาเลเซีย ซึ่งคิทแคททั้งหมดที่จำหน่ายในบ้านเรา นำเข้ามาจากมาเลย์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อมีการเรียกคืนสินค้าในประเทศที่เป็นแหล่งผลิต การเรียกคืนสินค้าในประเทศที่เป็นแหล่งจำหน่ายเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกระทำ นอกจากนี้ผู้ประกอบการสมควรจะต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงที่ไปที่มาของปัญหาอย่าง เป็นทางการพร้อมสิ่งที่บริษัทจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ด้วยสำหรับผู้บริโภคที่พบปัญหานี้สามารถแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีได้” นายอิฐบูรณ์กล่าว 

นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน กล่าวว่า การเรียกคืน (Recall) คำนี้ตามกฎหมายไทยไม่ได้ให้นิยามไว้ แต่เมื่อพิจารณานิยามการเรียกคืนผลิตภัณฑ์สุขภาพของสำนักงานอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ให้นิยามการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ว่าเป็นกระบวนการที่นำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาด ซึ่งอาจริเริ่มดำเนินการจากผู้ประกอบการ หรือตามที่สำนักงานอาหารและยาร้องขอ หรือโดยคำสั่งของสำนักงานอาหารและยาซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย ส่วน The General Product Safety Regulations 2005 ของอังกฤษให้นิยามการเรียกคืนว่าเป็นมาตรการใดที่มีจุดมุ่งหมายนำผลิตภัณฑ์ซึ่งขายหรือทำให้แก่ผู้บริโภคแล้วนำกลับคืนมา

นายพชร กล่าวต่อว่า โดยสรุปการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ คือ  มาตรการใดที่เกี่ยวข้องกับการนำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาด โดยผู้ประกอบการอาจใช้ความสมัครใจริเริ่มดำเนินการด้วยตนเอง หรือเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลร้องขอ หรือโดยคำสั่งจากหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งการเรียกคืนนี้อาจเป็นการเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือนำผลิตภัณฑ์เดิมไปซ่อมแซม หรือนำผลิตภัณฑ์ที่มีความชำรุดบกพร่องหรือไม่ปลอดภัยออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการทำลายผลิตภัณฑ์ที่มีการเรียกคืนเสมอไป หากสามารถเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ได้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามกฎหมาย ข้อกำหนดด้านสุขภาพและความปลอดภัย

“การเรียกคืนสินค้ากลุ่มอาหารผ่านการใช้อำนาจรัฐในประเทศไทยเท่าที่ทราบยังไม่ปรากฏ เนื่องจาก ตาม พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 มิได้มีการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีอำนาจในการสั่งเรียกเก็บคืนสินค้าออกจากชั้นวางหากพบว่าเป็นอาหารที่มีปัญหา  โดยกำหนดอำนาจไว้แค่ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการยึดหรืออายัดอาหารหรือภาชนะ บรรจุที่เก็บมาโดยพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้ทำการตรวจพิสูจน์เป็นที่แน่นอนว่า เป็นอาหารไม่บริสุทธิ์, อาหารปลอม, อาหารผิดมาตรฐาน, หรือเป็นภาชนะบรรจุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรืออนามัยของประชาชน หรือมีลักษณะไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐาน ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 6 (6) และได้กำหนดให้ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบ หมายโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหารอาจสั่งทำลาย หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรได้ ตามมาตรา 44” นายพชรกล่าว

นายพชร ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย ทำให้การเรียกคืนสินค้าได้ถูกระบุไว้ ใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2556 โดย ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ในสาระสำคัญเกี่ยวกับการเรียกคืนและทำลายสินค้าโดยมีการกำหนดให้ผู้ประกอบ ธุรกิจจัดเก็บสินค้าที่ยังไม่ได้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคกลับคืน หรือเรียกคืนสินค้าจากผู้บริโภค (มาตรา 36 วรรคสอง(1)) ให้ผู้ประกอบธุรกิจทำลายสินค้านั้น (มาตรา 36 วรรคสอง (5)) ให้ผู้ประกอบธุรกิจปิดประกาศ แจ้ง หรือโฆษณาข่าวสารเกี่ยวกับอันตรายของสินค้านั้นให้ผู้บริโภคทราบ หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 36 วรรคสอง (6)) พร้อมให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามวรรคสอง (มาตรา 36 วรรคสาม) ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการตามมาตรา 36 วรรคสอง มาตรา 36 วรรค สาม ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้หากมีมาตรการใดเกี่ยวกับสินค้าตามมาตรานี้ก็ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเช่นเดียวกัน”

“จะเห็นว่ายังมีโอกาสที่จะมีการปรับแก้ พ.ร.บ.อาหารให้มีการให้อำนาจแก่ อย. เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ สคบ. เพื่อให้เกิดการแก้ไขเชิงระบบ อันนำมาซึ่งการหลีกเลี่ยงปัญหาที่คล้ายกันซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์อื่นในภายหลังได้ จึงขอเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคดำเนินการสั่งให้บริษัทเนสท์เล่ เรียกคืนผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ แล้วทั้ง 9 ประเทศตามที่เป็นข่าว และจะทำหนังสือถึง อย.ให้ข้อเสนอแนะในการเพิ่มเติมให้มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ระบุไว้ใน พ.ร.บ.อาหาร ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและอยู่ในกระบวนการพิจารณาโดยกฤษฎีกาด้วย” นายพชรกล่าว

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท