ฝ่ายไทยให้การที่ศาลโลกหักล้างกัมพูชา กรณีพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหาร

ระบุพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่กัมพูชายกไม่เคยปรากฏในคดีเดิมเมื่อปี 2505 และพื้นที่ซึ่งเรียกร้องคราวนี้กว้างกว่าพื้นที่ "บริเวณใกล้เคียง" ปราสาท ตามคำพิพากษาปี 2505 ที่มีขนาด 0.35 ตร.กม. ยืนยันปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวศาลโลก  18 ก.ค. 54 แล้ว และหลังจากนั้นความสัมพันธ์สองชาติดำเนินไปด้วยดี มีช่องทางหารือเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกัน

ที่มา: เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ

วันนี้ (17 เม.ย.) ในการให้การโดยวาจารอบแรกของฝ่ายไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 นั้น เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ในฐานะตัวแทนประเทศไทยและคณะที่ปรึกษากฏหมายชาวต่างชาติของฝ่ายไทย ได้แก่ โดนัลด์ เอ็ม แมคเรย์ และอลินา มิรอง ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อศาลฯ ย้ำท่าทีของฝ่ายไทยและหักล้าง คำแถลงทางวาจาของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ผู้ให้การด้วยวาจาประกอบด้วย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ขึ้นชี้แจงทางวาจาต่อศาลโลกแล้ว ตามด้วยทนายความได้แก่ นายโดนัลด์ เอ็ม แมคเรย์ และอลินา มิรอง ผู้ช่วยของศาสตราจารย์แปลเลต์ เป็นผู้ที่ทำงานและศึกษาเรื่องแผนที่ 

โดยหลังเสร็จสิ้นการแถลงทางวาจาของไทยในช่วงเช้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว สรุปประเด็นสำคัญในคำแถลงของฝ่ายไทย ดังนี้

1. การขอตีความของกัมพูชาบิดเบือนกระบวนการของศาลฯ ไม่ใช่การขอตีความ แต่มีลักษณะเป็นการอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลฯ ตัดสินในเรื่องที่เคยปฏิเสธที่จะตัดสินเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

2. พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่กัมพูชาเรียกร้องเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏในคดีเดิม กัมพูชา กล่าวอ้างเพราะต้องการนำพื้นที่ดังกล่าวไปใช้ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

3. พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่กัมพูชาเรียกร้องในครั้งนี้ มีขนาดกว้างกว่าพื้นที่ “บริเวณใกล้เคียง”ปราสาท ในคำพิพากษาฯ ปี 2505 ที่กัมพูชาเคยอ้างสิทธิไว้ในคดีเดิม ซึ่งมีขนาดแค่ 0.35 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น

4. เส้นมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 ที่ไทยใช้ในการปฏิบัติตามคำพิพากษาฯ สอดคล้องกับพื้นที่ “บริเวณใกล้เคียง” ปราสาทในคำพิพากษาฯ และกัมพูชาไม่เคยทักท้วงว่าไทยไม่ได้ถอนกำลังจากบริเวณดังกล่าว ซึ่งแสดงว่า ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน จึงไม่จำเป็นต้องตีความ

5. ไทยแสดงให้ศาลฯ เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของเอกสารหลักฐานที่กัมพูชาใช้ในศาลฯครั้งนี้ โดย “แผนที่ภาคผนวกหนึ่ง” ที่กัมพูชาใช้อ้างมีด้วยกันหลายชุด แผนที่ชุดที่กัมพูชายื่นต่อศาลฯ ในคดีเดิมแตกต่างจากแผนที่ชุดที่นำมาใช้ครั้งนี้ และเส้นบนแผนที่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดลงบนภูมิประเทศจริงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้น กัมพูชายังนำแผนที่ที่ไทยเคยนำไปยื่นต่อศาลฯ ในคดีเดิมมาแต่งเติม

6. ไทยได้ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลฯ สั่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 แล้ว ซึ่งก็บรรลุผลที่ศาลฯ ต้องการ คือ ไม่มีเหตุปะทะทางอาวุธในบริเวณชายแดน ไม่มีการสูญเสียชีวิต และไทยกับกัมพูชาได้ประชุมหารือกันและเห็นพ้องเรื่องขั้นตอนการดำเนินการ นอกจากนั้น ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดำเนินไปด้วยดี มีช่องทางหารือเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกัน รวมถึงในเรื่องเขตแดนที่กัมพูชาพยายามขอให้ศาลฯ ตีความก็มีกลไกการเจรจาภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ฝ่ายไทยแถลงต่อศาลฯ เป็นไปตามแนวทางการต่อสู้คดีที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ โดยขอให้ศาลฯ ไม่รับคดีไว้พิจารณา หรือหากศาลฯ เห็นว่า ศาลฯ มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณา ก็ขอให้ตัดสินว่าไม่มีประเด็นที่จะต้องตีความ เพราะคำพิพากษาฯ ชัดเจน และไทยได้ปฏิบัติตามแล้ว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท