Skip to main content
sharethis
ด้วยพระนามของอัลลอฮ.ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนฑูตมูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

เมื่อ 1 พค. ที่ผ่านมานายมูฮัมหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ  หรืออันวาร์ เป็นหนึ่งนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมด้วยสันติวิธี ตั้งแต่ปี2549 – ปัจจุบัน ได้ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 12 ปีได้สร้างความงุนงง และตกใจสำหรับคนทำงานด้านสันติธีทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่

กอปรกับตัวอันวาร์เป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันว่าเขามีผลงานเชิงประจักษ์ ว่าที่ผ่านมานั้นเป็นคนที่ทำกิจกรรมอย่างสันติวิธีโดยเฉพาะกับเยาวชนในพื้นที่ซึ่งหลายครั้งได้รับงบสนับสนุนกิจกรรมทั้งจากภาครัฐและเอกชนหรือการระดมทุนจากคนในพื้นที่ แต่หลายครั้งอันวาร์ก็ได้มีส่วนร่วมรณรงค์ให้มีการยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่อย่างสันติวิธีซึ่งยังผลให้คนในหน่วยความมั่นคงหลายคนไม่พอใจแต่กลับถูกใจจากนักสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ                   

สำหรับเหตุผลที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุกเขาคือ เขาเป็นสมาชิก บีอาร์เอ็นโดยศาลมีหลักฐานหลัก คือคำซัดทอดจากการให้การของบุคคลสี่คน  คนเหล่านี้คือมะตอเห สะอะ อับดุลเลาะ สาแม็ง สะตอปา ตือบิงหมะ และมะสุกรี สารอ   ทั้งสี่คนยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าตัดคอดาบตำรวจสัมพันธ์ อ้นยะลา ตำรวจยะรัง แม้ว่าคนที่ยิงและตัดคอดาบตำรวจนั้นจับไม่ได้และไม่ได้อยู่ในกลุ่มสี่คนนี้ก็ตาม

จากเอกสารคำพิพากษาสรุปข้อมูลออกมาได้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีฆ่าดาบตำรวจ นำไปสู่การสอบสวนกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาสองแห่งคือประสานวิทยาหรือปอเนาะพงสตา กับโรงเรียนบุญบันดานหรือปอเนาะแนบาแด โดยตำรวจได้ตามรอยการใช้โทรศัพท์ของดาบตำรวจสัมพันธ์และพบว่ามีนักเรียนคนหนึ่งนำโทรศัพท์ไปใช้ และมีการติดต่อกับนักเรียนหลายคนของทั้งสองโรงเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าตรวจค้นและจับกุม แล้วนำตัวนักเรียนทั้งสี่รวมกับอีกหลายคนไปสอบปากคำ เป็นที่มาของการได้คำให้การต่างๆของคนทั้งสี่ที่ยอมรับว่าเป็นบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นหลักฐานหลัก

นอกจากนี้ยังมีคำให้การของนักเรียนอีกสามคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหลักฐานประกอบ ซึ่งก็เป็นคำให้การที่ให้ไว้ทั้งในขั้นตอนการซักถามข้อมูลและขั้นตอนการใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ เช่นกัน และพวกเขาก็ได้ไปให้ปากคำในชั้นศาลด้วย แต่คนกลุ่มหลังนี้ถือว่า “ไม่ใช่สมาชิกบีอาร์เอ็น”

ในคำซัดทอดของกลุ่มคนสี่คนที่ยอมรับว่าเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็นนั้นระบุว่า ในบรรดาคนที่ไปร่วมรับการอบรมมีอันวาร์และกลุ่มคนที่ถูกฟ้องพร้อมอันวาร์อยู่ด้วย ที่น่าสนใจคือ ในจำนวนคนทั้งสี่นี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือมะตอเหที่ได้ให้การในชั้นศาลเพิ่มเติม ส่วนที่เหลืออีกสามคนนั้นมีแต่คำให้การที่พวกเขาให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ในขั้นตอนการซักถามตามพรก.ฉุกเฉินฯ กับคำให้การที่ให้ไว้กับตำรวจเท่านั้น ไม่มีการไปเบิกความในศาลเพราะพวกเขาหลบหนีเสียก่อน  

หนึ่งในสี่คนที่ว่านี้ คนหนึ่งคือมะสุกรี ระบุว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของอันวาร์ จากคำให้การของพวกเขาสี่คน เล่าถึงการได้ไปทำกิจกรรมรับการอบรมของบีอาร์เอ็นด้วยกัน และระบุด้วยว่าอันวาร์กับอัรฟาน จำเลยอีกรายหนึ่ง เคยกระทั่งเอามอเตอร์ไซค์ส่วนตัวไปใช้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน  และอันวาร์ยังมีการไปมาหาสู่กับสะตอปา ตือบิงหมะ หนึ่งในสี่คนที่หลบหนีไป

ส่วนคำให้การของนักเรียนอีกสามคนจากปอเนาะแนบาแดที่ศาลบอกว่าไม่ใช่สมาชิกของบีอาร์เอ็นนั้น เป็นการ “ให้การเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว” ของสมาชิกบีอาร์เอ็นในการวางแผนสังหารดาบตำรวจให้การไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ว่าในการเบิกความในชั้นศาล พวกเขากลับคำให้การ โดยบอกว่าไม่รู้เรื่องการวางแผนใดๆของสมาชิกบีอาร์เอ็นที่ไปก่อเหตุ

แต่ศาลกลับเห็นว่า การกลับคำให้การของนักเรียนทั้งสามน่าจะเป็นเพราะต้องการช่วยเหลือจำเลย หรือไม่ก็เพราะหวาดกลัวมากกว่า และเชื่อว่าคำให้การในชั้นซักถามและชั้นสอบสวนของพวกเขานั้น “จริงยิ่งกว่าคำเบิกความ” พูดง่ายๆว่าที่เบิกความกับศาลนั้นศาลเห็นว่าเป็นเท็จ แต่ที่ให้การกับตำรวจศาลเห็นว่าเป็นของจริง เพราะว่าสอดคล้องกับการให้การของอีกสี่คนแรกที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นสมาชิกบีอาร์เอ็น

นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่อันวาร์ต้องถูกจำคุกถึง12  ปี (โปรดดูรายละเอียดในhttp://www.deepsouthwatch.org/node/4231)

จากผลของคดีนี้ทำให้เพื่อนๆอันวาร์เริ่มเคลื่อนไหวทางสันติวิธีให้มีการปล่อยตัวอันวาร์ทางสื่อออนไลน์   (https://www.facebook.com/saveanwar?group_id=0 ) และจัดกิจกรรมอื่นๆต่อมวลชนในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีผลต่กระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐกับกลุ่มคนเห็นต่าง โดยเฉพาะบีอาร์เอ็น  หรืออาจส่งผลต่อความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น เพราะอาจจเป็นข้ออ้างให้เยาวชนหันหลังให้กับแนวทางสันติวิธีหรือการต่อสู้ทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประเทศไทยอ้างว่ารัฐธรรมนูญของไทยเต็มใบ

สำหรับผู้เขียนอยากจะเสนอแนะให้สื่อมวลชนทั้งในหรือนอกพื้นที่โดยเฉพาะการเสวนาทางวิชาการด้านกฎหมายกับทางออกในวิกฤติชายแดนใต้ ในกรณีอันวาร์โดยเฉพาะว่า  พอมีทางออกอย่างไร ในคดีนี้  ที่จะไม่ไปสร้างปัญหาทางการเมืองระหว่างชายแดนใต้กับกรุงเทพในท่ามกลางบรรยากาศการเปิดพื้นที่พูดคุยเพื่อสันติภาพซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน  แต่ไม่ให้ล่มเพราะเหตุปัจจัยคดีอันวา

 

จากบทความเดิมชื่อ:  คดีอันวาร์ระวังจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะทำให้กระบวนสร้างบรรยากาศสันติภาพปาตานีสะดุด

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: 
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์  (อับดุลสุโก ดินอะ)
กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้
อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ
ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net