กลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ ชี้ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาฯ วิจัยผลกระทบการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ไม่มีการทำข้อมูลที่ลึกซึ้ง ขาดบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่เพียงพอ ทั้งเรื่อง GSP-สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหาร-แอลกอฮอล์และบุหรี่-ยา
ตามที่ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “ผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป” ในวันนี้ (15 ส.ค.56) ที่ห้องจามจุรีบอลรูม A โรงแรมปทุมวันปรินเซส (คลิกดู)
นายจักรชัย โฉมทองดี รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ซึ่งได้ไปร่วมรับฟังการนำเสนอโครงการวิจัยดังกล่าว ให้ความเห็นในเวทีว่า เป็นงานศึกษาที่กล่าวถึงเพียงข้อมูลพื้นฐานความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ อุปสรรคทางการค้าที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนการเจรจาเอฟทีเอ โดยขาดบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่เพียงพอ
“ไม่มีข้อค้นพบว่า เอฟทีเอกับสหภาพยุโรปจะแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี, เทคนิคทางการค้า หรือ สุขอนามัยพืช ได้อย่างไร ทั้งที่ชี้ว่าประเด็นเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญ”
นายจักรชัย กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของการใช้เอฟทีเอเพื่อคงหรือเพิ่มสิทธิพิเศษทางการค้า หรือ จีเอสพี ที่ภาคธุรกิจหวังอย่างมากจากการเจรจาครั้งนี้ ก็ไม่มีการศึกษาว่า หากไม่ได้ต่อสิทธิจีเอสพี ไทยจะเสียหายเท่าไรอย่างไร ไม่มีการศึกษาว่า สินค้าบางตัวแม้ไม่มีข้อได้เปรียบทางภาษีแล้วยังสามารถปรับตัวในด้านอื่นๆ ได้ ไม่มีข้อมูลเชิงตัวเลขที่จะสนับสนุนการเจรจาได้
เช่นเดียวกับงานวิจัยเรื่องสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่มีการศึกษาว่า การรักษาปริมาณการส่งออกไว้นั้น ผลประโยชน์จะเกิดเพิ่มขึ้นอย่างไร ละเลยประเด็นด้านการกระจายตัวของผลประโยชน์ โดยไม่ได้ชี้ว่า แรงงานจะได้ประโยชน์อย่างไร หรือจะได้ภายใต้เงื่อนไขอะไร ขณะที่การเปิดตลาดให้กับผลิตภัณฑ์โคนม-โคเนื้อ ก็ไม่มีงานวิจัยเทียบเคียงกับการเปิดเสรีที่ไทยทำไว้กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก่อนหน้านี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวต่อว่า สำหรับงานวิจัยเรื่องแอลกอฮอล์และบุหรี่นั้น ไม่มีการมองผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศอย่างน่าตกใจ
“สะท้อนว่า ผู้วิจัยไม่ได้ทำข้อมูลอย่างลึกซึ้ง ไม่มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่องบประมาณด้านสุขภาพไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบจากกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนที่ผู้ลงทุนมีสิทธิฟ้องร้องรัฐต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ทำให้รัฐหมดพื้นที่ทางนโยบายไป อีกทั้งไม่ศึกษาข้อเรียกร้องของผู้คัดค้านที่ชี้ให้เห็นว่า หากทำตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป ผู้ประกอบการในไทยจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์แบบได้เปล่า (Free Rider) ด้วยซ้ำ” นายจักรชัยกล่าว
สำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวกับยานั้น รองประธานกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ ตั้งข้อสังเกตว่า น่าแปลกใจมาก ที่งานวิจัยแยกความเห็นเป็น 2 กลุ่มคือ ของผู้ผลิต (Manufacturers) กับความเห็นขององค์กรพัฒนาเอกชนและผู้บริโภค (NGOs – Consumers) การแบ่งแบบนี้ ไม่เหมาะกับความเป็นวิชาการ เพราะไม่ได้แยกชัดว่า ผู้ผลิตหมายถึงใคร ผู้ผลิตในประเทศ หรือตัวแทนบริษัทข้ามชาติที่มาตั้งสำนักงานในไทยและตั้งสมาคมชื่อภาษาไทย ผลประโยชน์ 2 กลุ่มนี้ต่างกันมาก และมีความต้องการต่างกันมาก อีกทั้งคนที่เห็นเช่นเดียวกับองค์กรพัฒนาเอกชนและผู้บริโภค ก็มิได้มีแค่องค์กรพัฒนาเอกชน แต่เป็นนักวิชาการ นักเภสัชศาสตร์ หน่วยงานรัฐ จำนวนมากก็เห็นเช่นนี้
ทางด้านนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นกังวลกับงานวิจัยในลักษณะนี้ ที่ผ่านมา ศูนย์ยุโรปศึกษาเคยรับศึกษาความยั่งยืนของเอฟทีเอระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป พบว่า พูดแต่ด้านดีเท่านั้น ไม่มีข้อเสนอให้ระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเอฟทีเอเลย
“เมื่อพิจารณาข้อมูลการนำเสนอในวันนี้แล้ว การสรุปของศูนย์ยุโรปแบบนี้ หากไม่เจตนาบิดเบือนก็แสดงให้เห็นถึงความด้อยคุณภาพของงานวิชาการ” นางสาวกรรณิการ์ กล่าว
ทั้งนี้ การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปในรอบที่ 2 นั้น จะมีขึ้น ระหว่างวันที่ 16-20 กันยายนนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน กำลังติดต่อเพื่อขอพบหัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายเพื่อหารือถึงข้อห่วงกังวลต่างๆ และจะจัดกิจกรรมรณรงค์ในระหว่างการเจรจาด้วย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน และสนับสนุนผู้เจรจาฝ่ายไทยให้ยืนหยัดในประเด็นที่สังคมจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)