เมธา มาสขาว: ความลับไม่มีในโลก และวันเวลาไม่ได้หายไปไหน

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ระบบราชการอาจมีความลับหลายชั้น แต่เอกสารเหล่านั้นก็อาจมีวันหลุดออกมาสู่สาธารณะ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของการเปิดเผยข้อมูลโครงการปฏิบัติการ “เอ็กซ์คีย์สกอร์” (XKeyscore) ภารกิจสืบค้นข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) โดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานสัญญาจ้างหน่วยข่าวกรอง CIA ของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับโปรแกรมพิเศษที่สามารถล้วงข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ทในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อีเมล การเข้าเว็บไซต์ การใช้โปรแกรมสนทนาออนไลน์ โดยเป้าหมายไม่อาจรู้ตัวและไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน

การสนทนาอาจเป็นเรื่องของคน 3-4 คน และเป็นความลับของวงสนทนา แต่ความลับก็ไม่มีในโลก ยกตัวอย่างเมื่อนายจูเลียน อาสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Wikileaks ได้เผยแพร่โทรเลขเอกสารลับและเอกสารปกปิดทางการทูต กว่า 100,000 หน้าของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏต่อสาธารณะชนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตทั่วโลก

แม้กระทั่งการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างคน 2 คนในปัจจุบันนี้ อาจไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนอีกต่อไป หากอีกฝั่งแอบบันทึกการสนทนา หรือเกิดความผิดพลาดทางเทคโนโลยีที่มีการบันทึกอัตโนมัติ กระทั่งการแอบฟังหรือดักฟังโดยใช้เทคโนโยลีสมัยใหม่ ดังกรณี “ถั่งเช่า” ของนักการเมืองไทยที่มี Clip เสียงหลุดออกมา

ผมเคยได้ยินประโยคทำนองว่า “ความลับไม่มีในโลก” มานานแล้ว และกำลังเห็นว่าอนาคตกำลังยืนยันข้อเท็จจริงนั้น หลายคนอาจหาเหตุผลมาถกเถียงกันได้ และคำตอบอาจจะเป็นเครื่องมือในการหาวิทยาการในการยืนยันเรื่องดังกล่าวในอนาคตได้ไม่มากก็น้อย

อย่างน้อยที่สุด การกระทำของเราเอง แม้เป็นความลับมากน้อยแค่ไหน ซ่อนอยู่ภายในใจที่ลึกสุดขั้วเพียงใด แต่ตัวเราเองก็รู้เรื่องราวเหล่านั้นอย่างดี ถึงวันหนึ่งอาจมีการเปิดเผยออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อถึงเวลา, หลายคนเป็นนักดื่มอาจระบายความรู้สึกและเปิดเผยความลับออกมาเมื่อตอนเมามาย หลายคนเปิดเผยความลับของตนเองกับหมอและพยาบาล กระทั่งบางคนปลดปล่อยความเครียดความเก็บกดเหล่านั้นกับนักจิตวิทยา ดังที่เราเห็นในภาพยนตร์จีนหลายเรื่อง ยังไม่นับเรื่องนักแสดงสาวของไทยบางคน ที่ออกมาจากยอมรับความจริงที่เคยเป็นความลับมาก่อน

เป็นไปได้ว่า ความลับ(อาจ)ไม่มีในโลกแล้ว ผมคิดต่อไปว่า ทุกการกระทำของเราเอง นอกจากเรารับรู้แล้ว จะยังมีใครรับรู้อีกบ้างไหม การขโมยเงินแม่ตอนเป็นเด็ก ยามแกล้งเพื่อนร่วมชั้นเรียน การโกหกในเหตุการณ์ต่างๆ การได้รับเงินทอนผิดแล้วไม่คืน การยืมเงินจนเจ้าของลืมไปแล้ว ฯลฯ

ในทางศาสนาและความเชื่อ พระผู้เป็นเจ้าอาจรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ดีและแยกแยะคนดีคนเลวในสังคมชัดเจนในทางธรรม พวกเขาเหล่านั้นคงจะถูกตัดสินเมื่อลาจากโลกใบนี้ไป บ้างอาจถูกผลกรรมจากการกระทำในโลกปัจจุบันทันทีจากการกระทำต่างๆ ที่เป็นเหตุและผลของเหตุการณ์ตามสัจธรรม คนเฒ่าคนแก่ได้สอนเราว่า ใครก่อกรรมทำชั่ว ฟ้าดินย่อมลงโทษ ทำอะไรไม่ดีไว้ ฟ้าดินมองเห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ ผลเกิดจากเหตุ จนมีภาษิตคำสอนทำนองว่า ทำอะไรไม่ดีไว้ ก็ขอให้อายฟ้าดินบ้าง อย่าคิดว่าทำความผิดต่างๆ แล้วคิดว่าจะไม่มีใครรู้ ฯลฯ  

ในทางวิทยาศาสตร์ วันนี้วิทยาการและเทคโนโลยีได้ไล่ตามสัจธรรมเหล่านั้นจนเห็นได้ชัด เมื่อดาวเทียมต่างๆ หลายร้อยดวงได้เฝ้าดูพฤติกรรมมนุษย์ไม่ต่างจากพระเจ้า อย่างน้อยที่สุด Google Earth/Google Map นอกจากบันทึกภาพเคลื่อนไหวสังคมโลกไว้ให้บริการรายเดือนแล้ว ยังบันทึกภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ ตามวันเวลาแต่ละวันไว้ด้วย ดังปรากฏภาพ Google street view ในแผนที่, บางทีเราอาจจะพบเห็นตนเองเดินอยู่บนถนนสายนั้นในเดือนที่ผ่านมา, รถส่วนตัวที่แอบไปจอดหน้าสถานบันเทิงชื่อดังเพื่อปิดบังครอบครัวเมื่อวันก่อน ฯลฯ

หรือวันเวลาไม่ได้หายไปไหน? โลกทุกวันนี้มีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้แทบทุกอย่าง เราสามารถค้นหาอะไรต่างๆ ได้มากมายผ่านระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เว็บไซด์และ Social Media โปรแกรมต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นเชื่อมโยงในระบบ Cloud System กันหมดแล้วในปัจจุบัน ราวกับว่า ข้อมูลความทรงจำและวันเวลา ถูกเก็บไว้บนก้อนเมฆ!

ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Eagle eye เมื่อเทคโนโยลีฉลาดเกินกว่ามนุษย์และกลายเป็นนายตัวเอง ควบคุมและกำหนดพฤติกรรมของคนทั้งโลกแทน, เจ้าของ Cloud System ต่างๆ อาจได้เป็นนายของโลกเมื่อยึดกุมข้อมูลทั้งหมดได้ หรือไม่วันหนึ่งโลก Cloud System อาจกลายเป็นนายของเราแทน

การประชุมซูเปอร์คอมพิวเตอร์นานาชาติ (International Supercomputing Conference) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประเทศเยอรมนี ได้ยืนยันว่า อาจมี Eagle eye ในอนาคต จากการจัดอันดับ TOP500 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์โลก ปรากฏว่า “เทียนเหอ 2”  ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีนมีระบบปฏิบัติการที่เร็วที่สุดในโลก สามารถประมวลผลภายใน 1 ชั่วโมงเทียบเท่ากับการคำนวณด้วยเครื่องคำนวณในเวลาเดียวกันของคน 1,300 ล้านคน เป็นเวลา 1,000 ปี อันดับ 2 ได้แก่ Titan ของบริษัท Cray ติดตั้งอยู่ที่ศูนย์ทดลอง Oak Ridge National Laboratory ของสำนักงานพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา โดยตกจากอันดับ 1 ในการจัดอันดับครั้งที่ผ่านมา

นอกจากความลับและข้อมูลต่างๆ ใน Cloud Systemแล้ว สังคมวิทยาศาสตร์ยังมีข้อถกเถียงเพื่อแสวงหาวิทยาการกันอีกว่า กรณีการย้อนเวลาอาจสามารถทำได้ในอนาคต  การหาคำตอบจากทฤษฎีของ “ไอน์สไตน์” และ“สตีเฟน ฮอว์คิง” จากทฤษฎีเอกภพวิทยา กลศาสตร์นิวตันดั้งเดิม จนถึงทฤษฎีควอนตัมในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่าในอนาคต ไม่ตราบวันใดก็วันหนึ่ง มนุษย์สามารถหาเครื่องมือในการย้อนเวลาได้ หากเราสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง เนื่องจากมิติของโลกปัจจุบัน มี 4 มิติ (กว้าง/ยาว/สูง/เวลา) ทุกอย่างเป็นมิติเวลาที่เดินตามแสง หากมนุษย์เดินทางได้ด้วยความเร็วกว่าแสง เขาก็อาจจะย้อนอดีตเท่ากับความเร็วนั้นได้ เช่น เมื่อเขาบินรอบโลกด้วยความเร็วกว่าแสง 10 นาที เขาก็กลับมายังจุดเดิมเมื่ออดีต 10 นาทีนั้น เหมือนกับที่เราเห็น หมู่ดาวต่างๆ ที่ห่างไกลออกไปหลายล้านปีแสง ซึ่งเท่ากับเราเห็นอดีตของมันหลายล้านปีแสงนั้น!

หากเราสามารถเดินทางย้อนอดีตได้จริง ก็เท่ากับยืนยันว่า วันเวลาไม่ได้หายไปไหน เหตุการณ์ต่างๆ วันเวลาได้บันทึกการกระทำและบรรจุในวันเวลาไว้ทั้งหมดแล้ว ในอนาคต เราอาจไม่ต้องย้อนเวลาโดยความทรงจำดีๆ หรือการดูภาพถ่ายเก่าๆ อีกต่อไป แต่สามารถเห็นภาพทั้งหมดที่ปรากฏในวันเวลาต่างๆได้ในระบบมิติเวลา

โลกเราเดินทางมาไกลมากแล้วและเป็นเครื่องมือยืนยันอนาคตได้เป็นอย่างดีว่า ความลับอาจไม่มีในโลกจริงๆ และคนเราคิดจะทำอะไร ก็ควรอายฟ้าดินบ้าง.

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท