Skip to main content
sharethis
ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนร้อยเอ็ดและเขื่อนยโสธร-พนมไพร สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการน้ำของรัฐที่ผ่านมาล้มเหลวโดยเฉพาะโครงการโขงชีมูล ชี้ 3.5 แสนล้าน ไม่มีโครงการในร้อยเอ็ด แต่อาจกระทบจากโครงการในชัยภูมิ
 
 
21 พ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ เวทีประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของประชาชนในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2556 ที่ห้องพลาญชัย โรงแรมร้อยเอ็ดซิตี้ จ.ร้อยเอ็ดที่คณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ.ร่วมกับจังหวัดร้อยเอ็ดจัดขึ้น
 
สืบเนื่องจาก คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ.2550 มาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง โดยการนำแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำไปจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง เนื่องจากโครงการบริหารจัดการน้ำทุกสัญญา (โมดูล) มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
 
เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.ผู้เข้าร่วมเวทีการรับฟังความคิดเห็นยืนรอลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมประชุม ในการลงทะเบียนจะได้รับเอกสารรายละเอียดโครงการ ขณะเดียวกันผู้เข้าร่วมที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนก็สามารถที่จะเข้าร่วมรับฟังก่อนได้ โดยผู้เข้าร่วมมีทั้ง พระสงฆ์ หน่วยงานราชการ นายก อบต. นายกเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน ประมาณ 200 กว่าคน และมีชาวบ้านลุ่มน้ำชีตอนล่างซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ดและเขื่อนยโสธร-พนมไพรกว่า 50 คนเข้าร่วมด้วย
 
กระทั่งเวลา 13.30 น.นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ประธานในพิธีเปิด กล่าวว่า เวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเมื่อมีโครงการพัฒนา ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ เพื่อจะนำเสนอความคิดเห็นของประชาชนนำไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
 
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่เกิดขึ้นในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้รัฐบาลมีโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วม จ.ร้อยเอ็ด ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายจังหวัดที่ต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แต่อาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการที่มีอยู่ใน จ.ชัยภูมิที่จะมีการสร้างอ่างเก็บน้ำ เพราะเป็นสายน้ำชีเดียวกัน แม้จะได้รับผลกระทบไม่มากก็ตาม แต่ต้องมารับฟังความคิดเห็นประชาชนและเพื่อให้รับรู้ รับทราบเพิ่มมากขึ้น
 
จากนั้นได้มีการเปิดเวทีให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น โดยนางอมรรัตน์ วิเศษหวาน ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ดและเขื่อนยโสธร-พนมไพร อ.ทุ่งเขาหลวง กล่าวว่า หลังจากดูวีดีทัศน์แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีโครงการที่ จ.ร้อยเอ็ดเลย แล้วคนร้อยเอ็ดจะได้อะไรจากโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 3.5 แสนล้าน มีแต่จะได้รับผลกระทบ
 
นางอมรรัตน์ กล่าวด้วยว่า ในโครงการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการโขง-ชี-มูล ที่มีการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ดและเขื่อนยโสธร-พนมไพร สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้าน ทำให้น้ำท่วม นาน 3-4 เดือน เป็นเวลา 12 ปี ข้าวนาปีไม่เคยได้กินตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนมา ไม่มีการเยี่ยวยาชดเชย ปัญหาเก่ายังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาใหม่ก็จะเข้ามาทับถม เพื่อให้มีการดำเนินการแก้ปัญหา วันนี้จึงขอยื่นหนังสือเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
 
หลังจากนั้น ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด และเขื่อนยโสธร-พนมไพร อ.ทุ่งเขาหลวง ได้ยืนหนังสือคัดค้านเวทีการรับฟังความคิดเห็น ต่อนายพิทยา กุดหอม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดร้อยเอ็ด
 
 
ด้านนายสิริศักดิ์ สะดวก ผู้ประสานงานศูนย์พิทักษ์สิทธิการจัดการทรัพยากรชุมชนลุ่มน้ำชีตอนล่าง กล่าวถึงสังเกตต่อเวทีรับฟังความคิดเห็น ดังนี้ 1.ดูวีดีทัศน์แล้วไม่มีโครงการใน จ.ร้อยเอ็ด 2.อ่านเอกสารประกอบแล้ว ก็ไม่มีแผนโครงการใน จ.ร้อยเอ็ด 3.พื้นที่ จ.ร้อยเอ็ดได้อะไร?
 
นายสิริศักดิ์ กล่าวว่า ในภาคอีสานมีโครงการใน 2 จังหวัด คือ ชัยภูมิและสกลนคร ในส่วนของโครงการใน จ.ชัยภูมิ สิ่งที่คนร้อยเอ็ดจะได้คงเป็นสิ่งที่หลายคนวิตกมากกว่า คือ ประการแรก ถ้ามีการสร้างเขื่อนชีบนและเขื่อนยางนาดีตามโมดูล B1, B2 จะทำให้ในช่วงฤดูน้ำหลากอาจจะมีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรนานกว่าเดิมทำให้ต้นข้าวเน่าเสียหาย เนื่องจากบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ จ.สารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.ยโสธร ช่วงกลางน้ำถึงท้ายน้ำเป็นพื้นที่ทาม น้ำท่วมถึง แต่ลักษณะน้ำท่วมจะท่วมไม่นาน 7-15 วันน้ำก็ลด แต่พอมาสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร ในลุ่มน้ำชีก็ทำให้น้ำท่วมผิดปกตินาน 3-4 เดือน ยิ่งถ้ามามีการสร้างเขื่อนชีบนและเขื่อนยางนาดีตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านก็ยิ่งจะทำให้คนลุ่มน้ำชีต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมนานกว่าเดิมอีก
 
ประการที่สอง ในช่วงหน้าแล้ง หากมีการสร้างเขื่อนยางนาดีและเขื่อนชีบนกักน้ำในจังหวัดชัยภูมิ เขื่อนแต่ละเขื่อนจะมีการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูน้ำแล้งเพื่อรักษาตัวเขื่อนและเพื่อทำประโยชน์ตามที่เขื่อนได้กล่าวอ้างไว้แน่นอนก็จะทำให้น้ำอาจจะไหลมาหล่อเลี้ยงคนกลางน้ำและท้ายน้ำได้ไม่ปกติ หรือไม่สามารถไหลลงมาหล่อเลี้ยงคนลุ่มน้ำชีตอนล่างได้ ซึ่งจะส่งผลต่อเกษตรกรในปัญหาการแย่งน้ำทำนา
 
นายสิริศักดิ์ยังกล่าวต่ออีกว่า ในส่วนโครงการบริหารทรัพยากรน้ำ 3.5 แสนล้าน มีเป้าหมายโครงการชัดเจนอยู่แล้ว จึงมีคำถามว่า เวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนวันนี้เป็นการประทับตราให้โครงการหรือไม่ ดังนั้น จึงขอคัดค้านเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ และมีข้อเสนอต่อการบริหารจัดการน้ำคือ รัฐควรที่จะหันกลับไปแก้ไขปัญหาเก่าก่อน โดยเฉพาะโครงการโขงชีมูลที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในลุ่มน้ำชี เช่น ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่การเกษตรนาน 3-4 เดือนทำให้ต้นข้าวเน่าเสียหาย หลังจากมีการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร มองว่ารัฐควรต้องลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริงตั้งแต่ในระดับพื้นที่
 
และสุดท้าย ควรกระจายการบริหารจัดการลงสู่ชุมชนทั้งในระดับแผนงานละงบประมาณเพื่อให้ชุมชนได้จัดทำแผนในการบริหารจัดการน้ำระดับชุมชน และเพื่อเสนอความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริงและมีการจัดการน้ำได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับพื้นที่

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net