ต่อจากตอนที่หนึ่ง
ถาม : เริ่มมาเป็นการ์ดได้อย่างไร
วัลลภ : จังหวัดอุตรดิตถ์มีเสื้อแดงเยอะแต่ไม่มีคนคอยดูแลมวลชน ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในมวลชนเล็กๆ ไปแอบฟังแอบดูเวลาเขาปราศรัยบ่อยๆ เข้า แกนนำจังหวัดเขาเห็นก็เลยเรียกไปสอบถาม แล้วลองให้ทำดู แรกๆ ก็แค่ดูแลคนเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเป็นหัวหน้าการ์ดจังหวัดในปลายปี 52
ถาม : ดูจากที่เราเคยผ่านทหารเกณฑ์มาด้วยหรือเปล่า (วัลลภเคยสมัครเป็นทหารเกณฑ์ที่กองพันทหารม้า (ม.พัน 7) จ.อุตรดิตถ์ เคยไปประจำการอยู่ชายแดน จ.เชียงใหม่ จ.ตาก ปลดประจำการก็มาเป็นอาสาสมัครกู้ภัยท่าเสา ที่บ้านเกิด)
วัลลภ : น่าดูจากหลายๆ อย่าง อุตรดิตถ์เป็นพื้นที่ที่มีป่าเยอะ เวลาเขาจะตั้งเวทีเขาจะต้องเอาผมไปนั่งวางแผนด้วย ผมไม่รู้ว่าแต่ละจังหวัดนี่เขาคัดเลือกการ์ดกันยังไง แต่หลังจากผมขึ้นเป็นหัวหน้าการ์ด ผมเน้นไปที่คนมีประสบการณ์ อย่างแรกที่เลือกคือเคยผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว คนพวกนี้จะมีความอดทน เขาจะมองออกว่าคนลักษณะไหนที่เป็นภัยกับพวกของเรา รถของมวลชนผู้ชุมนุมมันเยอะ ถ้ามีพวกไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพเข้ามา หรืออาจจะมีการวางระเบิดแสวงเครื่อง ในมุมมองของทหารเก่ามันไม่ได้วางยาก เราต้องมีคนที่เป็นงานในเรื่องนี้มาดูแลด้วย
ถ่ายขณะเป็นทหารเกณฑ์อยู่ ม.พัน 7 (คนยืนขวาสุด)
ถาม : งานการ์ดเสื้อแดงต้องทำอะไรบ้าง
วัลลภ : คำว่าการ์ด จริงๆ แล้วถ้าจะแปลออกมาเป็นไทยๆ เลยก็คือ “ยาม” นี่แหละ คอยดูแลรักษาความปลอดภัย รักษาความสงบ ถามว่าทำไมจะต้องดูแล ทำไมจะต้องตรวจค้น คือไอ้การที่จะใส่เสื้อแดงแล้วเข้าร่วมชุมนุมน่ะใครก็ทำได้ เราไม่รู้หรอกว่าเสื้อแดงจะต้องมีหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ ใครก็เข้ามาได้ เขาก็ต้องเลยมีการ์ดไว้เพื่อคอยดูแล ถ้าเกิดมีการสร้างสถานการณ์ข้างใน อย่างน้อยคนที่สร้างสถานการณ์มันจะได้ออกไม่ได้ ส่วนที่หลังเวทีต้องมีการ์ดเยอะก็เพราะถ้าเกิดมีใครเข้าไปทำอะไรแกนนำ ถ้ามวลชนไม่มีแกนนำแล้วจะอยู่กันยังไง จึงต้องดูแลทางเข้า ดูแลหลายสิ่งหลายอย่าง เผื่อจะมีการปลอมตัวเข้ามาก่อกวน
ที่อื่นผมไม่มั่นใจนะ แต่จากตัวผมเอง คือ ถ้าเป็นระดับสูงๆ ระดับหัวหน้าการ์ดจังหวัดนี่ควรร่วมวางแผนกับแกนนำเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย รถจอดตรงไหน เวทีตั้งตรงไหน มวลชนนั่งตรงไหน เต๊นท์แกนนำตั้งอยู่ยังไง ทางเข้าทางออกควรจะอยู่ตรงไหน ควรจะมีการ์ดยืนตรงจุดไหนบ้าง คอยบริการประชาชน อะไรอย่างนี้ จะต้องทำได้กระทั่งโบกรถให้จอดเข้าที่ หรือคอยตรวจค้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมน่าสงสัย คอยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในงานที่เราจัดขึ้นมา
ถาม : เป็นการ์ดได้เงินเดือนไหม
วัลลภ : ไม่มีครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า ผมต้องควักกระเป๋าตัวเอง ไม่เคยเรียกร้องจากส่วนใด
ถาม : ช่วงปี 52 เราทำอะไรบ้าง
วัลลภ : เมื่อก่อนผมติดตาม อ.สุรชัย (สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์) กับ เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) เพราะแกจะอยู่ด้วยกัน ช่วงต้นปีผมยังขายของหาเงินอยู่ ในวันที่เขายิงกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ตัวผมไปรับผ้าอยู่ที่ตลาดโบ๊เบ๊ ผมดูข่าว ข่าวบอกว่าใช้ลูกซ้อมในการยิงขึ้นฟ้า แต่ด้วยความที่เคยเป็นทหารมาก่อนก็เลยรู้ว่าปืนที่ใช้ลูกซ้อมจะต้องมีลักษณะแบบไหน จะต้องมีการติดอะแดปเตอร์ที่ปากกระบอก ปลอกกระสุนไม่เหมือนกัน ผมก็เริ่มรู้แล้วว่าในข่าวไม่ใช่เรื่องจริง เป็นการบิดเบือน มีการฆ่าประชาชนจริงๆ ก็เลยพลิกตัวเอง จากที่มาร่วมชุมนุมเป็นบางครั้ง กลายเป็นเข้าร่วมชุมนุมทุกครั้งเพื่อที่จะดูแลรักษาความปลอดภัย เพราะในช่วงนั้นอาจจะมีการเอาระเบิดไปวาง หรืออาจจะไปยิงสร้างสถานการณ์ก็เป็นไปได้
ถาม : ความเข้าใจสถานการณ์แบบนี้คือผลที่สั่งสมมาจากความสนใจเรื่องการเมืองมาหลายปี
วัลลภ : ตั้งแต่ปี 49 หลังจากรัฐประหาร ก็เริ่มติดตามข่าวการเมืองมาตลอด ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้สนใจการเมือง เพราะในช่วงที่ผมเกิดมันหมดยุครัฐประหารแล้ว ตอนปี 35 ผมก็ยังเด็กยังไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นสถานการณ์บ้านเมืองมีการรัฐประหารผมก็เลยสนใจว่าทำไปเพื่ออะไร ไล่ทำไม ใครเป็นคนทำ ใครวางแผน ระบบปฏิบัติการทั้งหมดเป็นอย่างไรบ้าง
ถาม : ส่วนตัวเรามีใครเป็นไอด้อลไหม
วัลลภ : เสธ.แดงคนเดียว (ตอบทันที) ผมคิดว่าแกเป็นนายทหารที่น่าเคารพนับถือ ความคิดของเสธ.แดงนี่ผมเชื่อเลยว่าทุกคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามแกจะกลัวแกหมด เพราะแกเป็นนายทหารที่ฉลาดมาก มีประสบการณ์จากสนามรบทั้งในเมืองทั้งในป่า
ถาม : ที่ว่าฝึกอาวุธกับเสธ.แดงนี่จริงไหม (ให้ดูภาพถ่ายจาก http://www.oknation.net/blog/prompzy/2010/11/26/entry-1)
วัลลภ : ไม่นะครับ จริงๆ แล้วผมได้ทำงานร่วมกับแกก็คือในช่วงที่แกเริ่มมาปราศรัยในเขตภาคเหนือแค่นั้นเอง แล้วจากนั้นเขาเรียกว่าเลือดทหารด้วยกันก็เลยตามกันไป คนในรูปนี้ไม่ใช่ผมแน่ๆ ได้ยินว่าเจ้าตัวเคยออกมายืนยันแล้ว
ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/prompzy/2010/11/26/entry-1
อ้างว่าเป็นภาพของวัลลภขณะร่วมฝึกอาวุธกับ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง
ถาม : เดินสายไปกับแดงสยามตลอดเลยหรือ
วัลลภ : ส่วนใหญ่จะเป็นในภาคเหนือ นับตั้งแต่สุโขทัยขึ้นมา จะไปกับเขาตลอด เริ่มอารักขาตั้งแต่สนามบิน ปิดเส้นทางให้อะไรให้ ไปจนถึงสถานที่ชุมนุม เสร็จปุ๊บก็จะกระจายกำลังไปดูแลพื้นที่การชุมนุม ส่วนตัวผมจะดูแล อ.สุรชัย กับเสธ.แดงเอง สมัยนั้นก็จะมี ดร.สุนัย และแกนนำอีกหลายๆ คน แกนนำส่วนใหญ่จะนั่งอยู่ในเต๊นท์ แต่จะมีเสธ.แดงคนเดียวที่จะนั่งปะปนอยู่กับมวลชน ไม่เข้าไปนั่งในเต๊นท์ ก็เลยต้องดูแลแกเป็นพิเศษ
ถาม : ตอนนั้นได้เข้าร่วมกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หรือยัง
วัลลภ : ในช่วงแรกๆ ยัง ผมไม่มั่นใจว่าดีเจอ้อม (กัญญาภัคร มณีจักร) ไปเจอผมตอนไหน คงไปถูกใจอะไรผมสักอย่างแล้วเอาผมมาทำงานร่วมกันอยู่กับรักเชียงใหม่ 51 ขึ้นมาก็ปลายปี 52 แล้ว ตั้งแต่ชุมนุมขับไล่ (พล.ต.ท.) สมคิด บุญถนอม ในช่วงนั้นการ์ดของทางภาคเหนือตอนล่างก็จะมีอยู่หลายกลุ่ม จะมีนักรบพระแม่ย่าของสุโขทัย มีนักรบพระองค์ดำของพิษณุโลก แล้วของอุตรดิตถ์ก็จะเป็นทีมผม ไม่ว่าจะเป็นเขายายเที่ยง เขาสอยดาว ก็จะไปด้วยกันหมด ส่วนใหญ่เขาคงคิดว่ามาไกล ในการวางแผนหลายๆ อย่างแกนนำเขาเลยรับฟังเรา
ถาม : พฤษภา 53 อยู่กรุงเทพใช่ไหม ทำอะไรบ้าง
วัลลภ : ใช่ครับ ตั้งแต่เมษาแล้ว เดิมทีตัวผมเองเป็นกู้ภัยอยู่แล้ว แล้วคราวนี้เวลามีแก๊สน้ำตาคนแก่เขาจะรับไม่ไหว มวลชนของรักเชียงใหม่ 51 ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ อาจจะมีโรคแทรกซ้อนอย่างโรคหัวใจอะไรอย่างนี้ ก็เลยเกณฑ์คนแก่เอาไปเก็บไว้ก่อน อพยพไปหลบหลังตึกคุรุสภา แล้วเอาคนหนุ่มมาปะทะกับทหารตำรวจ
ถาม : งานกู้ภัยนี่ทำอยู่ก่อนสนใจการเมืองอีกหรือ
วัลลภ : ผมเข้ามาทำกู้ภัยครั้งแรกเพราะมีเหตุการณ์สึนามิเป็นแรงบันดาลใจ จำปีไม่ได้แล้ว เข้ามาเป็นเด็กอาสาธรรมดา ทำมาเรื่อยๆ จนมาเป็นหัวหน้าจุด ปัจจุบันผมสามารถเปิดศูนย์กู้ภัยเองได้ ร่วมกับเทศบาล กู้ภัยของผมค่อนข้างใหญ่ แล้วตัวผมเองก็เป็นกรรมการด้วย ช่วยเหลือประชาชนทั่วไป รถล้ม รถเสีย ก็ช่วยเหลือกันไป
ถาม : เวลาจัดการการปะทะนี่การ์ดเขาทำอย่างไรบ้าง
วัลลภ : ส่วนใหญ่การ์ดจะตรึงก่อน ไม่ให้ฝั่งเจ้าหน้าที่สามารถบุกเข้ามาได้ เราต้องเคลียร์ภายในก่อน ว่ามีคนที่ไม่ไหวไหม มีคนแก่ไหม ก็เคลียร์ออกจากพื้นที่ไปก่อน แล้วส่วนจะปะทะกันยังไงก็ค่อยว่ากัน คือเราไม่สามารถต้านเจ้าหน้าที่ได้อยู่แล้วเพราะเขามีทั้งโล่มีทั้งกระบอง
ถาม : เรามีแผนในการเข้าปะทะไหม มีการจัดแถวอย่างไร
วัลลภ : มีครับ ปกติแล้วการ์ดส่วนใหญ่จะผ่านการอบรมมา จะรู้ลักษณะวิธีการต้าน วิธีทำลายแถวของทหาร สามารถจะเจาะโล่เข้าไปในกลุ่มของทหารได้ สมมติว่าเขาปิดถนนหนึ่งเส้น เราสามารถผ่าทหารออกเป็นสองฝั่งได้ แต่อยู่ที่ว่าในจังหวะที่ปะทะกันนั้นการ์ดของเราเจ็บเยอะขนาดไหน ถ้าการ์ดของเรายังเจ็บน้อยอยู่เราสามารถทำตามแผนได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเจ็บเยอะแล้วก็ต้องถอยให้เขาบุกเข้ามา อยู่ที่หัวหน้าการ์ดแต่ละจังหวัดด้วยว่าสามารถสั่งได้ไหม หรือว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ช่วงกลางวันวันที่ 10 เมษา ผมอยู่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกตรงข้ามยูเอ็น ทีมผมอยู่บนสะพานมัฆวาน ทีมผมสามารถสลายทหารกลุ่มนั้นได้ ทำให้แตกออกไปเลย แต่ละคนที่อยู่ในทีมส่วนใหญ่จะเป็นของทางเหนือตอนล่างที่เคยผ่านการเป็นทหารกันมา เรื่องแก๊สน้ำตาก็เลยไม่กลัวกันอยู่แล้ว กระป๋องมันร้อน แต่มีวิธีการจับ จะเตะก็ได้ จะหยิบก็ได้ อาจจะเป็นจังหวะด้วยที่ลมไม่ได้มาทางเรา พวกเราสามารถทำให้ทหารตรงนั้นแตก ไม่อย่างนั้นทหารจะบุกเข้ามาฝั่งถนนทางยูเอ็นที่พวกเราอยู่ได้
ถาม : กระสุนนัดแรกยิงช่วงบ่าย
วัลลภ : หลังจากที่แนวทหารตรงนั้นแตก ทหารฝั่งของกระทรวงศึกษาธิการก็มาช่วย ทำให้ต้องแบ่งการ์ดแบ่งมวลชนเราออกไปโดยการใช้สองแถวขวาง ตัวทหารเองกั้นระหว่างสะพานผ่านฟ้ากับฝั่งมัฆวานให้ออกจากกัน แล้วมันก็ใช้กระสุนจริงแต่ยิงขึ้นฟ้ามากกว่าจะยิงตรงๆ เพราะในช่วงกลางวันนักข่าวยังเยอะอยู่
ถาม : เราแยกกระสุนจริงออกจากกระสุนซ้อมได้ยังไง
วัลลภ : ปากกระบอกปืนสามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นปืนที่ติดอะแดปเตอร์มาไว้เพื่อยิงกระสุนซ้อม ถ้าใส่กระสุนซ้อมโดยที่ปากกระบอกไม่ได้เปลี่ยนจะต้องเป็นการกระชากแล้วยิงทีละนัด เพราะปลอกลดแสงไม่สามารถถีบลูกเลื่อนให้กลับมาและคัดปลอกออกมาให้ลูกใหม่เข้าไปได้ มันก็เลยต้องกระชากแล้วยิง กระชากแล้วยิง แต่อันนี้เป็นการยิงแบบชุด เมื่อยิงแบบชุดจึงมีอยู่สองอย่าง คือ หนึ่ง ปากลำกล้องของปืนต้องติดอะแดปเตอร์เพื่อบีบให้รูมันเล็กลงแล้วอัดแก๊สให้ลูกเลื่อนทำงาน หรือ สอง ใช้กระสุนจริงในการยิงเลย ส่วนเสียงนั้นในที่โล่งกว้าง กระสุนจริงกับกระสุนซ้อมจะใกล้เคียงกัน แยกยาก แต่แค่มองที่ปืนก็จะรู้กันแล้ว และปลอกกระสุนซ้อมจะเป็นหัวจีบ เมื่อยิงออกไปแล้วหัวจีบจะบานออก กับปลอกกระสุนจริงที่กระเด้งออกมาจะเป็นหัวตัดเลย
ถาม : บทบาทของเราในช่วงการสลายการชุมนุมเป็นอย่างไร
วัลลภ : 11 มีนา 53 ผมลงกรุงเทพพร้อมมวลชนเชียงใหม่ หลังจากนั้นผมออกจากกรุงเทพวันที่ 19 พฤษภา 53 ส่วนใหญ่จะเป็นการดูแลคุ้มครองประชาชน หลัง 10 เมษา ก็จะเป็นการแยกมวลชนกลุ่มหนึ่งไปราชประสงค์ ส่วนตัวผมจะดูแลในส่วนถนนสารสินและถนนเส้นประตูน้ำ ผมมีการ์ดของศรีสะเกษอยู่ในการดูแลประมาณ 70 กว่าคน คอยดูแลประตูสองประตู ช่วงนั้นแยกจากเสธ.แดงแล้ว เพราะเสธ.แดงเองมีภาระต้องดูแลฝั่งลุมพินี ผมต้องวางแผนเอง ดูแลเอง ส่วนตรงผ่านฟ้าก็มีการ์ดสุโขทัยเขาดูแล
ถาม : มีความเห็นยังไงกับกรณีเสธ.แดงถูกยิง
วัลลภ : อันนี้ทหารชัวร์ ฝั่งรัฐบาลในขณะนั้นนะ อย่างแรกถ้าไม่เก็บเสธ.แดงก่อนจะไม่มีทางสลายม็อบได้ เพราะเสธ.แดงแกเป็นคนที่วางแผนดี เป็นคนรอบคอบ เป็นคนที่ทำงานมีแบบแผน ผมเชื่อเลยว่ารัฐบาลชุดนั้นไม่มีใครมีความสามารถเท่าเสธ.แดง เพราะฉะนั้นการเก็บหัวก็จะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจ ถ้าคนที่ตายไม่ใช่เสธ.แดง เหตุการณ์สลายการชุมนุมจะไม่เกิดขึ้น เราไม่ต้องสูญเสียกันเป็นร้อย เพราะมันไม่กล้ากันอยู่แล้ว
ถาม : มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทีมเสธ.แดงไม่มีอาวุธ เพราะในภาพวิดีโอตอนเสธ.แดงถูกยิงไม่มีใครชักปืนออกมาเลย ตามสัญชาตญาณของคนมีอาวุธเมื่อมีภัยมา มีแต่คนไปล้อมด้วยมือเปล่า
วัลลภ : ใช่ครับ คือจะพูดถึงชายชุดดำในม็อบมันมีได้หลายอย่าง ตั้งแต่การสร้างสถานการณ์ การสร้างภาพรุนแรง ผมถามว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร คุณออกมาเรียกร้องอะไร ถ้าคุณเป็นเสื้อแดงจริงคุณจะไปทำให้เขารู้ทำไม คนที่ออกมาบอกว่าตัวเองเป็นชุดดำนี่ ผมว่าไม่น่าจะมีตัวตนจริง (อ้างถึงข่าวไทยอีนิวส์ http://thaienews.blogspot.com/2013/11/exclusive1053.html)
ขณะอ่านข่าว “ไทยอีนิวส์” เรื่องสัมภาษณ์ชายชุดดำ
ถาม : คิดว่าเสธ.แดงฮาร์ดคอร์จริงไหม
วัลลภ : จริงไหมนี่ โอเคครับ แกเป็นคนที่ค่อนข้างแรง แต่ทุกคำพูดที่จะได้ยินจากปากแก ทุกครั้งที่เจอกัน แกจะพูดว่าแกเป็นคนที่จงรักภักดีที่สุด ยศแก ตำแหน่งแก ในหลวงพระราชทานให้ เพราะฉะนั้นใครจะมาทำอะไรมาว่าอะไรในหลวงราชินีแกจะไม่ยอม แต่ถ้าพูดถึงแนวการต่อสู้ทางการเมืองนี่ผมว่าแกค่อนข้างรุนแรง
ถาม : หลังเสธ.แดงถูกยิงวันที่ 13 พฤษภา บทบาทเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า
วัลลภ : เป็นเรื่องที่เล่าไม่ได้เลย ในช่วงที่เสธ.แดงล้มนะ ตำแหน่งจริงๆ ของพวกผมส่วนใหญ่จะอยู่กันที่ลุมพินีแล้ว เพราะทหารฝั่งลุมพินีมันค่อนข้างเยอะ ก็ไปคอยต้านคอยดูกันอยู่แถวนั้น
ถาม : คิดอย่างไรกับเรื่องปรองดอง กฎหมายนิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการแก้มาตรา 112
วัลลภ : สำหรับเรื่องปรองดองผมอยากให้เกิดขึ้นนะ บ้านเมืองจะได้สงบ อยากให้เก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้แค่ความทรงจำ ไม่ต้องเอาคนไปกักขังไว้ให้มันเป็นตราบาป หรือทำให้เกิดความแค้น ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการแก้ไขมาตรา 112 นั้น ผมก็คงต้องเชื่อในสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่จะตัดสินใจเพราะคนเสื้อแดงนั้นมีความเป็นประชาธิปไตย และเคารพกฎกติกาของสังคมเสมอ
ถาม : คิดยังไงกับเรื่องความรุนแรง
วัลลภ : มันก็มีกันบ้างนะถ้าพูดถึงการปะทะกันนี่ ฝั่งนู้นเจ็บฝั่งนี้เจ็บ เจ็บนิดเจ็บหน่อย ก็เริ่มจากน้อยๆ กลายเป็นความรุนแรง มันมีกันบ้าง เป็นธรรมดาของระหว่างการปะทะ มันควบคุมไม่ได้หรอก มันต้องมีการใช้อารมณ์กัน คนนี่มันจะมีอยู่สามสี่อย่างที่ห้ามตัวเองไม่เคยได้ หนึ่งหิว สองง่วง สามเหนื่อย ทั้งหิวทั้งง่วงทั้งเหนื่อยทั้งร้อน ไปยืนอยู่กลางแดดแล้วต้องไปยืนประจันหน้ากันนี่ มันจะเกิดอารมณ์ใส่กัน ถึงจะไม่รุนแรงนะ อาจจะเริ่มจากการเอาหินก้อนเล็กๆ ขว้างหัวกันมันก็กลายเป็นโมโหแล้วชกต่อยกันได้ในที่สุด
ถาม : ถามตรงๆ ว่าเคยเห็นชายชุดดำไหม
วัลลภ : ชายชุดดำมีเยอะแยะไป กางเกงยีนเสื้อขายตัวละร้อย เสื้อการ์ดนักรบพระองค์ดำเขาแขวนขายกันเต็มไปหมด
รอยสักที่แขนคงทำให้เขาดู “ร้าย” พอที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายในสายตาคนทั่วไปได้
แต่วัลลภเล่าว่า เขาเป็นคนไม่ดื่มสุรายาเมา และนับถือเจ้าแม่กวนอิม
ถาม : แนวทางการต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิธีรุนแรงคิดว่ามันจะเกิดต่อไปหรือเปล่า
วัลลภ : ถ้าเขาแรงมาผมก็ว่าควรจะแรงไป ไม่ควรที่จะปล่อยให้เขาทำเราข้างเดียว ผมเชื่อเลยว่าถ้ามีการปฏิวัติเกิดขึ้นมันจะมีการนองเลือดทุกหย่อมหญ้า ประชาชนที่มีอาวุธปืนอยู่ในตัวเขาก็จะออกมาต่อต้านทหาร คือไม่ต้องมีใครเอาอาวุธไปแจกเขา เขามีปืนลูกซองสั้นมีปืนแก๊ปเนี่ย เขาก็เอาออกมาต่อต้านทหาร ออกมาต่อต้านไอ้ระบอบชั่วๆ พวกนี้ออกไป คือประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่รับกันแล้วเรื่องการปฏิวัติ มันทำให้ประเทศไทยล้าหลังไปเยอะ เรานี่เคยนำประเทศเพื่อนบ้านไปไกล ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านเขาตีเสมอเราได้แล้ว แล้วก็จะไปไกลกว่าเราแล้ว ประเทศไทยก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
ถาม : คุณจัดบทบาทตัวเองในพื้นที่เชียงใหม่ยังไง มีเสื้อแดงหลายกลุ่มเหลือเกิน
วัลลภ : ผมไม่ได้สนใจนะว่าแกนนำจะมีแนวทางยังไง คืออย่างที่บอก ไม่ว่าคุณจะเป็นกลุ่มไหน อาจจะเป็นรักเชียงใหม่ 51 เป็น นปช.แดงเชียงใหม่ หรือเป็นอะไรก็ช่าง จริงๆ แล้วแนวทางในการขับเคลื่อนก็คือแนวทางเดียวกัน แต่จังหวะของการพูดให้มวลชนฟังนี่มันอาจจะไม่ตรงกัน อย่างสมมติว่าตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่ แนวทางจริงๆ ก็คือขับไล่รัฐบาลนั้น ... ทุกๆ คนไม่ชอบแนวทางการปฏิวัติทำลายประชาธิปไตยเขาก็เลยออกมาต่อต้านกัน ตัวผมเองอย่างที่บอกก็คือผมไม่ได้สนใจว่าแกนนำจะเป็นใคร ไม่ว่าแกนนำจะเลวขนาดไหนก็ช่าง แค่คุณมีมวลชนอยู่ในมือผมก็จะดูแลมวลชนในส่วนนั้นให้ เพราะผมไม่อยากจะให้มวลชนถูกหลอกเอาไปนู่นไปนี่ หรือเอาไปทำร้ายให้บาดเจ็บอะไรอย่างนี้ มันเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ช่วงหลังๆ มาผมไปยืนคุมเชิง แต่เราไม่ได้เปิดเผยใครว่าตัวเองเป็นการ์ด ไปดูแค่ว่ามีเหตุการณ์อะไรไหม ถ้าไม่มีก็กลับ ถ้ามีก็จะวางแผนต่อต้านกันยังไงก็ว่ากันไป
ถาม : ตอนนี้ยังเหลือคดีที่อุตรดิตถ์อีกหนึ่งคดี ต่อสู้คดีเหมือนกันกับที่เชียงใหม่หรือเปล่า
วัลลภ : เป็นคนละแนวทาง ไม่มีของกลาง ผมสู้เรื่องที่อยู่และรถ ตอนถูกจับกุมก็ไม่มีการซ้อม
ถาม : ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง
วัลลภ : ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ปกติอยู่อย่างนี้ผมก็คิดว่าไม่น่าจะวางมือได้ จริงๆ แล้วผมก็อยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไป คืออยากอยู่กับลูกกับเมียในบ้านหลังเล็กๆ อยากทำไร่ทำสวนเหมือนชีวิตในช่วงที่อยู่อุตรดิตถ์ ตอนนี้ผมคงรับเหมาก่อสร้าง ติดตั้งจาน ติดตั้งกล้องวงจรปิด แค่หาเลี้ยงชีพกันกับพรรคพวกที่อยู่ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ว่าผมไม่สามารถทนดูประชาชนถูกรังแกได้ ผมก็คงวางมือไม่ได้ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่ควรไปก็ต้องไป
- - - - - - - - - - - - -
บทสนทนายามค่ำหลังเลิกงานประจำวันของเขาในวันนั้นจบลงเพียงเท่านี้ ขณะที่พูดคุยถามตอบกันตลอดสองชั่วโมงกว่าในวันนั้น ดูวัลลภมั่นใจว่าคดีที่ยังคงค้างอยู่จะยกฟ้อง และยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องเสื้อแดง เราจึงไม่ได้ใส่ใจจะพูดคุยกันถึงรายละเอียด แต่แล้วเรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ดังข่าวเมื่อไม่นานมานี้ (http://prachatai.com/journal/2013/12/50569) จังหวะแรกที่ผู้สัมภาษณ์เดินเข้าห้องเยี่ยมเพื่อพบเขา (25 ธันวาคม 2556) จึงได้ย้อนถามเพื่อทบทวนคำพูดของเขาที่ว่า “..ถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่ควรไปก็ต้องไป” แล้วเหตุการณ์ชุมนุมปะทะที่บริเวณสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานเมื่อไม่นานมานี้เขาได้ไปอย่างที่เคยบอกว่าควรต้องไปหรือเปล่า เขาบอกแต่เพียงว่ายังไม่สะดวกจะคุยเรื่องนั้น แต่สิ่งที่ประจักษ์ในวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556 คือวัลลภกลับมาที่อุตรดิตถ์เพื่อฟังคำพิพากษาที่อาจพรากอิสรภาพไปจากเขาตลอดชีวิต จากคดีพยายามฆ่าที่บ้านเกิดของเขาเอง
เหตุคดีโดยสรุป - เช้าวันที่ 10 พฤษภาคม เกิดเหตุคนร้ายยิงระเบิด M79 ใส่สำนักงานกู้ภัยมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุสาเหตุว่ามาจากการแย่งผู้ป่วยนำส่งโรงพยาบาล จึงออกหมายจับวัลลภ พิธีพรม และชลทิศ โพธิ์แย้ม เจ้าหน้าที่กู้ภัยและการ์ดนปช. ข้อหาพยายามฆ่าและครอบครองอาวุธสงคราม
(สรุปจาก มติชน http://www.matichon.co.th/webmobile/readnews.phpnewsid=1273584872&grpid=03&catid=00))
เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์
อีกครั้งในชุดนักโทษออกเยี่ยมญาติ วัลลภแค่นเปิดบทสนทนาใหม่ว่า
"ปีนี้คงเป็นปีที่สามที่ผมต้องดูเขาจุดพลุผ่านลูกกรง เว้นปีที่แล้วแค่ปีเดียว"
ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับผลคดี ไหนตอนแรกบอกว่ามั่นใจ
วัลลภ : ผมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่เขามีปากเสียงทะเลาะกัน ผมกลับขึ้นมาจากชุมนุมไปร่วมประชุมกับมูลนิธิด้วย ประชุมเสร็จแล้วผมก็กลับลงไปชุมนุมต่อ มาหาว่าผมหนีคดี ผมเป็นคนเข้าไปห้าม เพราะเด็กที่มีเรื่องเคยเป็นลูกน้องผม แต่สุดท้ายผมโดนคดีคนเดียว
ถาม : แล้วตกลงว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องเสื้อแดง
วัลลภ : ไม่เกี่ยวแน่ๆ แรกเริ่มไม่ได้อยากให้คดีนี้เป็นคดีการเมือง ถ้าสู้กันเป็นคดีส่วนตัวนี่ผมมั่นใจอย่างที่เคยบอกไปแล้ว แต่ที่ถูกโยงเป็นการเมืองเพราะสถานะของผมเองเป็นทั้งกู้ภัยเป็นทั้งการ์ดเสื้อแดง แล้วอาวุธก็ดันเป็น M79 เหมือนกันอีก มูลนิธิทุกวันนี้ยังทะเลาะกันอยู่ ยังแบ่งประโยชน์กันไม่ลงตัว แต่ไปดูได้ว่าคนในมูลนิธิบางคนเป็นเสื้อเหลืองแล้วก็หาทางจัดการผม เป็นความขัดแย้งส่วนตัวของคนอื่นที่โยนมาเป็นเรื่องการเมือง
ถาม : ศาลไม่ให้ประกันแล้วจะทำอย่างไรต่อ
วัลลภ : ถ้าไม่ได้ประกันผมต้องถูกย้ายไปเรือนจำกลางพิษณุโลก ก็คงต้องยื่นอุทธรณ์ก่อน ตำรวจไม่ส่งหลักฐานที่เป็นประโยชน์กับผมไปให้อัยการ ตอนนี้กำลังปรึกษาทนายว่าจะเอาเรื่องกับตำรวจ สุดท้ายโดนคดีเพราะเป็นเสื้อแดง เขาพยายามจะโยงเรื่องอาวุธให้ได้ทั้งที่คดีที่เชียงใหม่ก็ยกฟ้อง ไม่มีของกลาง ความรุนแรงที่ฝ่ายผู้มีอำนาจทำกับประชาชนนั้นต้องรุนแรงกว่าที่ประชาชนทำต่อประชาชนด้วยกันเองอยู่แล้ว เพราะจุดเริ่มต้นเกิดจากฝ่ายมีอำนาจปลุกเร้าให้ประชาชนแตกแยกแบ่งฝ่ายจนต้องทำร้ายกันเอง
ถาม : ถึงตอนนี้แล้วคุณคาดหวังอะไรบ้าง
วัลลภ : หวังว่าศาลอุทธรณ์จะพิจารณาตามหลักฐานอย่างยุติธรรม ไหนๆ ก็ถูกลากโยงให้เป็นคดีการเมืองแล้ว ก็อยากขอย้ายไปอยู่หลักสี่ (เรือนจำชั่วคราวหลักสี่) เพราะญาติจะดูแลได้สะดวกกว่านี้ หากต้องไปอยู่พิษณุโลกคงจะไม่มีใครไปเยี่ยม ไม่มีคนช่วย ขอบคุณทุกคนที่ได้ช่วยเหลือ หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือในโอกาสนี้ด้วย
ด้วยข้อจำกัดของการพูดคุยผ่านลูกกรงและกระจก รวมทั้งระยะเวลาเยี่ยมที่เรือนจำนั้น เราจึงได้สอบถามเพิ่มเติมจากทนายความ (ไม่ประสงค์ออกนาม) ของวัลลภ ได้ความว่า ได้ส่งเอกสารหลักฐานคำให้การเพิ่มเติมให้ตำรวจ สภ.เมืองอุตรดิตถ์แล้ว แต่ตำรวจไม่ส่งให้อัยการ จึงไม่มีอยู่ในสำนวนที่ศาลพิจารณา มีการดึงเอกสารพยานที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายจำเลยออก และศาลไม่ได้รับฟังที่จำเลยต่อสู้เรื่องพิรุธพยานหลักฐานของโจทก์เลย โดยเฉพาะปากภรรยาเก่าของวัลลภ หลังจากยื่นอุทธรณ์แล้วจะยื่นขอประกันอีกครั้ง เชื่อว่าน่าจะมีโอกาสมากขึ้น
ตลอดการสนทนาสั้นๆ ครั้งหลังสุดนี้ ดูวัลลภจะเฉยชาและเหมือนจะปลงกับชะตากรรมที่ถูกโยนให้เป็นผู้ก่อการร้ายหมายเลขหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยคิดคาดหวังจะได้รับประโยชน์อะไรจาก พรบ.นิรโทษกรรมที่ดับวูบไปพร้อมก่อวิกฤตใหม่ให้กับรัฐบาลที่เขาสนับสนุนอย่างที่ยังไม่มีวี่แววจะจบสิ้นง่ายๆ ยังไม่มีใครรู้ว่าวัลลภจะได้ประกันตัวออกมาเข้าคูหาเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้หรือไม่ หรือแม้แต่หากได้ประกันตัว ยังจะมีการเลือกตั้งให้เขาอยู่อีกหรือไม่.
อาคารมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ที่วัลลภถูกฟ้องเป็นคดี M79 อีกคดี
สรุปลำดับการยิงระเบิด M79 ที่วัลลภ พิธีพรมถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ยิง
(สรุปจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/today/view/129252)
#1 : 16 มี.ค.53 ยิงธนาคารกรุงเทพ สาขารัชโยธิน จำนวน 1 นัด กระสุนตกใกล้บ้านพักนายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#2 : 4 เม.ย. 53 ยิงบริเวณลานจอดรถห้างแม็คโคร ถนนเชียงใหม่-ลำปาง ต.หนองป่าครั่ง อ.เมืองเชียงใหม่ (ไม่มีการดำเนินคดี)
#3 : 4 เม.ย. 53 ยิงโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ตนานุวัฒน์ ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ ด้านหลังห้างแม็คโคร สาขาหางดง (ไม่มีการดำเนินคดี)
#4 : 10 เม.ย.53 ยิงจากสะพานมัฆวาน เพื่อผลักดันทหาร ตำรวจ บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า และตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล จำนวน 3 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#5 : 28 เม.ย.53 ยิงใส่บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน จำนวน 1 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#6 : 8 พ.ค.53 ยิงใส่บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดี แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จำนวน 1 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#7 : 10 พ.ค. 53 ยิงใส่สำนักงานกู้ภัยมูลนิธิอุตรดิตถ์สงเคราะห์ จ.อุตรดิตถ์ (ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต)
#8 : 14 พ.ค.53 ยิงจากฐานที่มั่นใต้สะพานยกระดับประตูน้ำ ไปทางบริเวณหน้าโรงแรมอินทรา แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี จำนวน 4 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#9 : 16 พ.ค.53 ยิงจากฐานที่มั่นหลังสวน (แยกราชประสงค์ตัดถนนวิทยุ) ไปทางสวนลุมพินี (ไม่มีการดำเนินคดี)
#10 : 16 พ.ค.53 ยิงจากฐานที่มั่นถนนอโศก ไปทางทิศที่มีป้ายบอกทางด่วนท่าเรือ จำนวน 60 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#11 : 18-19 พ.ค.53 ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ากระชับพื้นที่ในรอบทิศทางไม่ทราบแน่ชัด ว่าจุดใดบ้าง ประมาณ 120 นัด (ไม่มีการดำเนินคดี)
#12 : 6 ก.ย. 53 ยิงด้านหน้าค่ายกรมรบพิเศษ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (ไม่มีการดำเนินคดี)
#13 : 12 ก.ย. 53 ยิงอาคารที่ทำการบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด ของนายคะแนน สุภา (ศาลจังหวัดsเชียงใหม่ยกฟ้อง)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)