ช่วงถาม-ตอบในงานแถลงการณ์ของ ‘เครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา’ ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2557 ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ในฐานะผู้ร่วมแถลงได้ตอบคำถามมีเนื้อหาบางตอนว่า
“ถ้าคุณสุเทพได้อำนาจรัฐไป ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ได้อำนาจรัฐกลับมา...โปรดเคารพเสียงข้างน้อยด้วย”
ข้อความนี้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ‘เสียงข้างน้อย’ สิ่งที่น่าสนใจคือ ดร. สมเกียรติกำลังกล่าวถึงอำนาจรัฐสองแบบซึ่งไม่เหมือนกันและจะทำให้พฤติกรรมของรัฐที่มีต่อ ‘เสียงข้างน้อย’ แตกต่างกันไปด้วย คือรัฐแบบคุณสุเทพ-ไม่ผ่านการเลือกตั้ง และรัฐแบบคุณยิ่งลักษณ์-ผ่านการเลือกตั้ง คำถามคือ รัฐทั้งสองแบบนี้จะสามารถ ‘เคารพต่อเสียงข้างน้อย’ ได้หรือไม่ อย่างไร?
เพื่อที่จะตอบคำถามดังกล่าว จำเป็นต้องมีการระบุว่า ‘เสียงข้างน้อย’ คือใครบ้าง และน่าจะสามารถใช้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับ ‘เสียงข้างน้อย’ ในอดีตเป็นเครื่องมือประเมินพฤติกรรมของรัฐต่อ ‘เสียงข้างน้อย’ ในอนาคต
ใครคือ ‘เสียงข้างน้อย’?
ถ้า ‘เสียงข้างน้อย’ เน้นเชิงปริมาณ ‘เสียงข้างน้อย’ ก็คือ คนจำนวนน้อยหรือคนจำนวนน้อยกว่า
‘เสียงข้างน้อย’ ดังกล่าวอาจหมายถึง ชนชั้นนำทางประเพณี กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เหล่าข้าราชการระดับสูงโดยเฉพาะข้าราชการฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายตุลาการในปัจจุบัน, ‘ชนชั้นปริญญาบัตร’ ได้แก่ นักวิชาการ ปัญญาชนสาธารณะและเทคโนแครต ที่โดยธรรมชาติจะมีจำนวนน้อยกว่าประชาชนทั่วไป รวมทั้งเสียงของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัครที่แพ้การเลือกตั้ง เช่น สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2554 เสียงข้างน้อยคือเสียงของผู้ลงคะแนนในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดส่วนใหญ่ในภาคใต้
หากย้อนไปดูความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ‘เสียงข้างน้อย’ ในลักษณะดังกล่าวนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพิจารณาจากการเอื้อประโยชน์เชิงนโยบาย โครงสร้างทางกฎหมาย ผลลัพธ์เชิงสถานะทางเศรษฐกิจสังคม สัดส่วนการกระจายงบประมาณ การรับฟังความเห็นและความอดทนอดกลั้นต่อความเห็นของกลุ่มคนเหล่านี้ของรัฐบาลชุดต่าง ๆ มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้คือ
ในทางนโยบาย รัฐใช้นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบไม่สมดุลตั้งแต่พุทธทศวรรษที่ 2500 เลือกพัฒนาและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม (ประชากรน้อยแต่มูลค่าสูง) มากกว่าภาคเกษตร (ประชากรมากแต่มูลค่าต่ำกว่า)
ในทางโครงสร้างกฎหมาย งานวิจัยเรื่อง “การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย” ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุลระบุว่ารัฐธรรมนูญที่สนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี “ทำให้ประชาชนในส่วนล่างของสังคมเผชิญกับปัญหา...ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางกฎหมาย...ทั้งยังไม่ต้องเอ่ยถึงท่าทีของรัฐซึ่งยึดถือพันธกิจต่อภาคธุรกิจมากกว่า” (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2553, น. 178)
ผลลัพธ์เชิงสถานะทางเศรษฐกิจแสดงว่าคนจำนวนน้อยมีความมั่งคั่งมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ จากข้อมูลเงินฝากของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2555 ผู้มีบัญชีเงินฝากร้อยละ 86.59 มีสัดส่วนเงินฝากเพียงร้อยละ 3.36 ในขณะที่ผู้มีบัญชีเงินฝากจำนวนไม่ถึงร้อยละ 2 มีสัดส่วนเงินฝากถึงร้อยละ 74.34 (ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยผ่าน ภาวิน ศิริประภานุกูล, “การถือครองสินทรัพย์ในประเทศไทย,” พ.ศ. 2555)
ในด้านสัดส่วนการกระจายงบประมาณ คนกรุงเทพซึ่งเป็นจังหวัดที่เลือกผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านมากกว่าฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีจำนวนประชากรประมาณร้อยละ 17 ของประเทศ แต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณถึงประมาณร้อยละ 72 ของประเทศ (The World Bank, “Thailand Public Finance Management Review Report 2012)
ทั้งนี้มิต้องพูดถึงความเป็นอิสระจากรัฐในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของกองทัพ รวมถึงความเห็นของผู้บัญชาการกองทัพและตุลาการที่หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายหรือละเมิดอำนาจของประชาชนในสถานการณ์ปัจจุบัน
หาก ‘เสียงข้างน้อย’ เน้นไปที่การมีหรือไม่มีอำนาจและหมายถึงผู้ที่มีอำนาจน้อย ทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจ (จน) อำนาจทางการเมือง (ไม่มีเครือข่ายเข้าถึงอำนาจ) และอำนาจทางสังคม (ถูกเหยียดชนชั้น เพศ ข้อจำกัดทางกายภาพ ฯลฯ) ข้อคัดค้าน ข้อเสนอและข้อเรียกร้องของผู้มีอำนาจน้อยเหล่านี้มักจะถูกละเลยได้ง่ายจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อเรียกร้องนั้นขัดแย้งกับนโยบายรัฐแม้แต่ในสมัยของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอย่างรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเองก็ตาม เพราะรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยออกมติคณะรัฐมนตรีกำชับให้เจ้าหน้าที่รัฐถือหลักปฏิบัติการตามกฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุมเรียกร้องในเรื่องต่าง ๆ (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2553, น. 179) ผลที่ตามมาคือ การจับกุมคุมขังและใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้เรียกร้องให้รัฐเข้ามาดูแลหรืออย่างน้อยเรียกร้องให้รัฐอย่าร่วมรังแกพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขื่อนปากมูล โครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย กรณีชาวนาลำพูน กรณีเกษตรกรสวนปาล์มสุราษฎร์ธานี (เล่มเดียวกัน, น. 183)
‘เสียงข้างน้อย’ ที่ด้อยอำนาจจึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเล็กของประเทศ กระทั่งอาจเป็นคนส่วนใหญ่เพียงแต่ถูกรัฐทอดทิ้งหรืออย่างน้อยก็ปล่อยให้เข้าคิวรอความเจริญอยู่ท้ายแถวอย่างถาวร
ค่อนข้างชัดเจนว่าที่ผ่านมารัฐให้ความเคารพอย่างสูงต่อ ‘เสียงข้างน้อย’ ของชนชั้นนำและละเลย ‘เสียงข้างน้อย’ ที่ด้อยอำนาจ พูดง่าย ๆ คือ รัฐไทยไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของ ‘เสียงข้างน้อย’ ในเชิงปริมาณดังกล่าวมากไปกว่าที่กระทำต่อภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม
ถึงที่สุดแล้วอำนาจ เป็นสิ่งกำหนดเสียงที่ส่งไปยังรัฐ เสียงที่รัฐมักไม่ค่อยจะรับฟังคือเสียงที่มีอำนาจน้อย โดยเฉพาะเสียงอำนาจน้อยที่เห็นต่างทางการเมือง เพราะการเมืองคือการต่อรอง-ต่อสู้เพื่อปรับสถานะสูงต่ำทางอำนาจในสังคมใหม่ เหตุการณ์ที่น่าจะประเมินศักยภาพในการ ‘เคารพเสียงข้างน้อย’ ของรัฐได้ดีที่สุดคือ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐกับประชาชน
รัฐไทยปฏิบัติต่อ ‘เสียงข้างน้อย’ อย่างไร?
ความเคารพต่อเสียงข้างน้อยของรัฐแสดงออกในรูปแบบของการเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนโดยเฉพาะในสิทธิพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของพลเมืองคือสิทธิในร่างกายและชีวิตของตนเอง ระดับความยับยั้งชั่งใจของรัฐในการล่วงละเมิดร่างกายและชีวิตของประชาชนจึงเป็นดัชนีประเมินความสามารถของรัฐที่จะเคารพเสียงประชาชนได้
ดังนั้น ความสามารถในการเคารพ ‘เสียงข้างน้อย’ ของรัฐ สามารถประเมินได้จากความอดทนอดกลั้นของรัฐและระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองสุดขั้วระหว่างรัฐกับประชาชน
จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2549-2557) คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับรัฐบาลทักษิณ พ.ศ. 2549 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับรัฐบาลสมัครและสมชาย พ.ศ. 2551 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติกับรัฐบาลอภิสิทธิ์สองรอบ รอบแรก พ.ศ. 2552 รอบสอง พ.ศ. 2553 และระหว่าง กปปส. กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พ.ศ. 2556- ปัจจุบัน ผลปรากฏดังนี้
ลำดับ | เหตุการณ์และคู่กรณี | หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการควบคุมการชุมนุม | รวมระยะเวลาในการชุมนุม | จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต |
1 | พ.ศ. 2549 | พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับรัฐบาลทักษิณ ตำรวจ | ประมาณ 8 เดือนระหว่าง ก.พ. – ก.ย. 2549 | ไม่ปรากฏข้อมูล |
2 | พ.ศ. 2551 | พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับรัฐบาลสมัครและสมชาย ตำรวจ | ประมาณ 8 เดือนระหว่าง พ.ค. – ธ.ค. 2551 | บาดเจ็บ 737 ราย เสียชีวิต 8 ราย |
3 | พ.ศ. 2552 | แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทหาร | ประมาณ 1 เดือน มี.ค. – เม.ย. 2552 | บาดเจ็บ 120 ราย เสียชีวิต 6 ราย |
4 | พ.ศ. 2553 | แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทหาร | ประมาณ 3 เดือน มี.ค. – พ.ค. 2553 | บาดเจ็บ 1,700 ราย เสียชีวิต 92 ราย |
5 | พ.ศ. 2556-ปัจจุบัน | ระหว่าง กปปส. กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตำรวจ | ตั้งแต่ 4 พ.ย. – ปัจจุบัน | กปปส. บาดเจ็บประมาณ 26 ราย เสียชีวิต 2 ราย จนท. ตำรวจบาดเจ็บ 28 ราย เสื้อแดงเสียชีวิต 3 ราย |
ที่มา: ข้อมูลในลำดับที่ 1,2, และ 4 จากการรวบรวมของอุเชนทร์ เชียงแสนใน ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, สุนทรียศาสตร์กับการเมืองภาคประชาชน, 2554, น. 251-285. และ ศิวัช ศรีโภคางกุล, เผชิญภัยความรุนแรงด้วยปรองดอง? บทเรียนจากต่างแดน, 2555, น. 22. ข้อมูลในลำดับที่ 3 จาก วิกิพีเดีย, ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 (เข้าถึงวันที่ 13 ม.ค. 2557) ข้อมูลในลำดับที่ 5 สรุปจาก วิกิพีเดีย, วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 (เข้าถึงวันที่ 13 ม.ค. 2557)
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่าการชุมนุมที่ผู้ชุมนุมสามารถชุมนุมได้ยาวนานและมีระดับความรุนแรงน้อยกว่าคือการชุมนุมในสมัยรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งใช้ตำรวจเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมผู้ชุมนุม ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งใช้ทหารเป็นกลไกในการควบคุมสถานการณ์นั้น ผู้ชุมนุมมีเวลาในการชุมนุมสั้นกว่าและมีระดับความรุนแรงมากกว่า
การที่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีระดับความอดทนอดกลั้นและควบคุมความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ดีกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นผลมาจากคุณลักษณ์ส่วนบุคคลของผู้นำรัฐบาล เพราะการตัดสินใจของผู้นำรัฐบาลในระบบการเมืองแม้แต่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นผลมาจากแรงกดดันจากกลุ่มอำนาจหลายแหล่ง
ในแง่นี้ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์แตกต่างกับรัฐบาลอภิสิทธิ์คือ การยึดโยงกับประชาชนของรัฐบาล การที่รัฐบาลจำเป็นต้องขอเสียงจากประชาชนในการเข้าสู่อำนาจทำให้รัฐบาลมีแรงจูงใจที่จะอดทนอดกลั้นต่อการเรียกร้องของประชาชนเพื่อหวังผลในการเข้าสู่อำนาจครั้งต่อ ๆ ไป ในขณะที่รัฐบาลที่สามารถเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการเจรจาต่อรองกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลและอำนาจวงเล็ก มีการยึดโยงกับประชาชนในระดับต่ำจึงมีแรงจูงใจน้อยกว่าในการอดทนอดกลั้นต่อประชาชนเพราะสามารถเข้าสู่อำนาจรัฐได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นหลัก
หากกลุ่ม กปปส. นำโดยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณได้อำนาจรัฐไปจริงตามที่ ดร. สมเกียรติ ว่าไว้ โดยที่คุณสุเทพไม่ได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง หนทางเดียวที่คุณสุเทพจะได้อำนาจรัฐคือกระบวนการนอกระบอบประชาธิปไตยซึ่งไม่มีการยึดโยงกับประชาชนอย่างกว้างขวางครอบคลุม
เพื่อที่จะมีอำนาจรัฐและสืบอำนาจรัฐต่อไป รัฐแบบคุณสุเทพย่อมต้องเจรจาต่อรองกับคนกลุ่มเล็กที่มีอิทธิพลและอำนาจทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้คุณสุเทพจะมีความต้องการที่จะปฏิรูปการเมืองเพื่อประชาชนจริง แต่การเข้าสู่อำนาจด้วยบารมีของคนกลุ่มเล็กทำให้คุณสุเทพย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปฏิบัติตามความต้องการของคนกลุ่มดังกล่าวเพราะพวกเขาคือแหล่งที่มาของอำนาจรัฐของคุณสุเทพ ผลท้ายที่สุดคือรัฐของคุณสุเทพมีโอกาสที่จะละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่างกว้างขวางหากผลประโยชน์ของประชาชนขัดแย้งกับคนกลุ่มดังกล่าว
เสียงที่รัฐบาลของคนอย่างคุณสุเทพจะฟังคือเสียงของชนชั้นนำจำนวนน้อย ไม่ใช่ ‘เสียงข้างน้อย’
ด้วยเหตุนี้รัฐที่ปฏิเสธการเลือกตั้งอันเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่แสดงออกถึงการยึดโยงกับประชาชนจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเคารพ ‘เสียงข้างน้อย’
ดีที่สุดเท่าที่ประชาชนจะคาดหวังได้จากอำนาจรัฐที่ตัดตอนประชาชนออกไป คือความกรุณาตามแต่ท่านจะให้ไม่ใช่ความเคารพ
********************
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)