Skip to main content
sharethis

เหตุการณ์ความรุนแรงที่สะพานผ่านฟ้าเมื่อวันที่ 18 ก.พ.เริ่มเงียบหายไปแล้ว หลังจากมีความรุนแรงอื่นๆ ที่ตามมาอีกหลายระลอก สิ่งที่ฮือฮาและเป็นที่จดจำ คือ ภาพการลุกขึ้นมาเตะระเบิดของ ด.ต. ธีรเดช เล็กคู่  ซึ่งปัจจุบันยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล

ถึงปัจจุบันเหตุการณ์ยังไม่คลี่คลายว่าเกิดอะไรขึ้น หลังเกิดเหตุ 1 วัน ผู้ที่เข้าไปในพื้นที่ได้มีเพียง อนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ พร้อมทีมสื่อมวลชน ซึ่งพบว่าวัตถุพยานหลายอย่างถูกเคลื่อนย้ายไปจากจุดเกิดเหตุบ้างแล้วเนื่องจากบริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรม หลังจากนั้นวันที่ 20 ก.พ. อนุกรรมการสิทธิได้ลงพื้นที่อีกครั้งพร้อมเป็นคนกลางนำตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานเข้าพื้นที่ด้วยเพื่อเก็บหลักฐานต่างๆ เท่าที่ยังหลงเหลือ

เหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้ชุมนุมถึง 4 ราย ได้แก่ นายจีรพงษ์ ฉุยฉาย, นายศรัทธา แซ่ด่าน, นายธนูศักดิ์ รัตนคช และนายสุพจน์ บุญรุ่ง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 4-5 ราย (อ่านปากคำผู้ชุมนุม กปปส.ที่ได้รับบาดเจ็บ) ่

นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตเป็นตำรวจ 2 นายคือ ด.ต.เพียรชัย ภารวัตร และต่อมา ด.ต.ศราวุฒิ ชัยปัญหา ที่โดนยิงเข้ากลางหน้าผากและอาการโคม่าก็เสียชีวิตลงในวันที่ 24 ก.พ.

ผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมาจากกระสุนปืนในบริเวณถนนราชดำเนิน หลังเกิดเหตุระเบิดที่สะพานผ่านฟ้าจนตำรวจได้รับบาดเจ็บและล่าถอยกันไม่เป็นขบวน ขณะที่มีผู้ชุมนุมบางส่วนก็รุกไล่ตามตำรวจมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนจะไปถึงปากคำของตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ เราสอบถามข้อมูลภาพรวม หรือไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องต้นจาก พ.ต.ท.ณัฐพล เยาครุฑ สวป.สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ในฐานะ ผบ.ร้อย 1 ควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯ และอยู่ในที่เกิดเหตุตลอด

เขากล่าวว่า ในช่วงเช้ามีการเจรจากันราว 2 รอบ โดยรอบแรกลูกศิษย์แจ้งให้รอสมณะโพธิรักษ์ซึ่งกำลังทำวัดเช้า รออยู่จน 11.00 น.ตำรวจจึงเคลื่อนกำลังเข้าประชิดแนว เมื่อได้เจรจากับสมณโพธิรักษ์ ผลการเจรจาเหมือนจะยอมเปิดทาง แต่หลังจากนั้นสมณโพธิรักษ์ประกาศบนเวทีว่าจะไม่ยอมให้ตำรวจผ่านเข้ามา ตำรวจจึงต้องปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ ซึ่งในช่วงแรกเหตุการณ์ยังสงบ กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ตรงเวทีพากันนั่งสมาธิ สวดมนต์ จนกระทั่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาสมทบ

“จนกระทั่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งมาแต่ไกล มองคร่าวๆ มีจำนวนมากเป็นร้อยสองร้อยคน หลบไปตามซอกเวที แล้วขวางแก๊สน้ำตามาใส่ตำรวจก่อน ตำรวจก็ถอยมาจุดหนึ่ง พอสวมหน้ากากได้ ผมก็ให้ไปรักษาแนวด้านหน้า ตั้งแนวให้ได้ เห็นผู้ชุมนุมบางส่วนวิ่งเข้ามา ตำรวจก็ขว้างแก๊สน้ำตา เขาก็ถอย จากนั้นตำรวจก็หยุดขว้างเพราะไม่เห็นผู้ชุมนุมแล้ว แต่ซักพักหนึ่งมาเป็นกระสุนเลย มีเสียงปืนดังขึ้นมานัดสองนัดยิงเข้าใส่โล่ของตำรวจ ทางผบ.เหตุการณ์จึงสั่งให้ชุดอาวุธพิเศษซึ่งใช้กระสุนยางไปอยู่ด้านหน้า เพื่อยิงตอบโต้ ผมเป็นหัวหน้าชุดตรงนั้น ผมยืนยันว่าเด็กเราไม่มีอาวุธเลย มีแต่โล่ และปืนกระสุนยางซึ่งมีไม่กี่กระบอก”

“ทิศทางที่โดนยิงตอนแรก แนววิถีช่วงแรกเด่นชัดมากว่ามาจากฝั่งตรงข้ามกับเวที ฝั่งวัดปรินายกฯ จึงหันแนวโล่ไปทางวัดปรินายกฯ เพื่อป้องกันกระสุน แต่เราไม่สามารถระบุตัวตนได้เพราะคนที่ยิงค่อนข้างเชี่ยวชาญการใช้อาวุธมาก ยิงแล้วก็หลบฉากตลอดเวลา ขณะที่ฝั่งตรงเวที ชาวบ้านเขายังอยู่เยอะ ยังตะโกนโหวกเหวกด่าทอตำรวจตลอดเวลา เราก็ไม่ได้สนใจ เราจะไม่ไปยุ่งตรงเวทีอยู่แล้ว เราแค่ต้องการเปิดช่องการจราจรตรงผ่านฟ้าเท่านั้น” พ.ต.ท.ณัฐพลกล่าว

เขากล่าวด้วยว่า ส.ต.ต.ศราวุฒิ ที่ถูกยิงเข้าศรีษะและเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้นเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ เป็นชุดคุ้มกันพร้อมกระสุนยางที่อยู่ด้านหลัง เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจะมีระเบิดไม่กี่นาที และการระเบิดก็เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการเข้าชิงตัว สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งตำรวจควบคุมตัวได้ด้านหลังเวทีและนำไปกักตัวไที่รถตำรวจไม่ไกลนัก

“ศราวุฒิเขาไม่มีอาวุธ ปืนที่เขาถือเป็นปืนลูกซองแต่ใช้กระสุนยาง ผมคิดว่าทางนู้นเข้าใจผิดคิดว่าน้องจะใช้อาวุธเข้าไปยิงเขา เพราะปืนมันลักษณะเดียวกันแต่เป็นกระสุนยาง ก็เลยยิงน้องเขาก่อน เขาโดนยิงไม่กี่นาที ก็ระเบิดลง”

พ.ต.ท.ณัฐพลเล่าว่า ชุดของเขาอยู่บนสะพาน หลังโดนระเบิด เขาสั่งให้ลำเลียงคนเจ็บออก แล้วถอนกำลังออกมา ระหว่างที่ถอนยังมีตำรวจที่ตั้งแนวโล่เพื่อกันกระสุน เพราะช่วงนั้นมีการยิงตลอด จนกระทั่งถอยออกมาเกือบหมด ทางฝั่งผู้ชุมนุมก็รุกไล่ตำรวจเข้ามา ผบ.เหตุการณ์ได้ประกาศว่า ตำรวจยินยอมถอนออกนอกพื้นที่ ให้ผู้ชุมนุมอยู่กับที่ คนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ตามมา แต่จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนน้อยและผู้มีอาวุธที่แฝงกายอยู่ในกลุ่มดังกล่าวที่ตามมา ทำให้ตำรวจต่างต้องวิ่งหนีอย่างที่เห็นตามภาพ

“ชุดคุ้มกันอีกชุดที่แถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชุดนั้นเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษกรณีมีเหตุร้าย แต่เอาเข้าจริงแล้วเราไม่สามารถใช้ชุดนั้นได้ เนื่องจากเราไม่สามารถระบุพิกัดได้ว่าคนร้ายคือใคร เพราะกลุ่มที่ก่อเหตุเขาก็ปะปนมากับชาวบ้าน ชุดปฏิบัติการพิเศษนั้นเขาก็อยู่กับผม หลังจากผมถอนกำลังออกมาแล้ว พวกเขามีกันไม่กี่คน มีอาวุธ แต่เราไม่สามารถใช้ได้เลย ถ้าพูดกันตรงๆ เราแยกคนดีกับคนร้ายไม่ได้ ตำรวจจึงต้องถอย”

หลังจากกำลังตำรวจหนีขึ้นรถกะบะที่อยู่เลยอนุสาวรีย์ฯ ไปเล็กน้อยเพื่อออกจากพื้นที่ ระหว่างนั้นมีการยิงเข้ามาตลอด จนกระทั่งบริเวณสี่แยกคอกวัว ด.ต.เพียรชัย ซึ่งอยู่ท้ายกระบะและกำลังหันข้างก็โดนกระสุนปืนทะลุผ่านลำตัวจากด้านข้าง แม้จะมีเสื้อเกราะก็ตาม เขาเสียชีวิตบนรถตำรวจคันดังกล่าว

พ.ต.ท.ยงยุทธ เรืองเดช

ไม่เพียงตำรวจในพื้นที่ปะทะเท่านั้นที่บาดเจ็บ ตำรวจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบคุมฝูงชนที่นั่น เพียงแต่เดินทางไปประชุมก็โดนยิงเช่นกัน

พ.ต.ท.ยงยุทธ เรืองเดช เป็นผู้กำกับการฝ่ายแผนและงบประมาณ กองบังคับการอำนวยการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เล่าว่า วันเกิดเหตุช่วงเที่ยงกว่าๆ เขาและทีมงานตำรวจหญิงในเครื่องแบบนั่งรถตู้เช่าธรรดาเพื่อไปประชุมเรื่องงบประมาณที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเดินทางมาถึงแยกจปร. ช่วงนั้นรถยนต์ยังผ่านไปได้ จนเกือบประมาณ 100 เมตรก่อนถึงแยก จปร. ผู้ชุมนุมก็มาถึงแยกพอดีแล้วปิดกั้นสี่แยก นำยางรถยนต์มาวางขวางเพื่อให้รถตีวงกลับสวนเลนไป

“ระหว่างนี้เราติดกันอยู่ รอเลี้ยวกลับ คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มการ์ดประมาณ 3-4 คนเดินมาบริเวณเกาะกลางถนน เขาเห็นรถตู้เราซึ่งเป็นรถเช่าธรรมดา ไม่มีเครื่องหมาย แต่เห็นเราแต่งเครื่องแบบตำรวจ เขาเห็นเขาก็ชี้มาที่รถแล้วก็บอกพรรคพวกเขาว่าเป็นรถตำรวจ หลังจากนั้นมีเสียงปืนเข้ามากระแทกที่รถ นัดแรกก็เข้าขาเลย ในรถมากัน 5 คน พลขับ 1 ผม ที่เหลือเป็นตำรวจหญิง พอได้ยินเสียงปืนก็พากันหมอบ ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมา กลัวจะถูกลูกหลง เพราะยิงเข้ามาด้านกระจกด้วย เราได้ยินแต่เสียงอาวุธปืนกระทบรถ เข้ามาเป็นระลอกๆ ประมาณ 4-5 ระลอก เกือบๆ ครึ่งชั่วโมง” พ.ต.ท.ยงยุทธกล่าวว่า และว่า ราวครึ่งชั่วโมงรถกู้ชีพของรพ.ศิริราชก็เข้ามารับตัวเขา

เขาเล่าด้วยว่า ระหว่างถูกระดมยิงนั้น พลขับซึ่งเป็นเป้าทางด้านหน้าพยายามรักษาชีวิต โดยพยายามเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งออกไป เขาทราบข่าวทีหลังจากเพื่อนตำรวจว่า พอวิ่งไปไม่ไกลก็ถูกกลุ่มการ์ดรุนทำร้ายได้รับบาดเจ็บ

“ผมเจ็บกายไม่เป็นไร แต่มันรู้สึกสลดใจ ทำไมมีเหตุการณ์แบบนี้ คนไทยด้วยกัน เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา รับใช้ประชาชน แล้วเพื่อนตำรวจทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตมันก็สลดใจ อยากให้เหตุการณ์มันยุติโดยเร็ว ไม่ว่าวิธีไหนก็แล้วแต่ วิธีการเจรจาหรือว่าตกลงกันทุกฝ่าย หาข้อยุติกันในทางสันติวิธี อยากให้จบ เอาแรงกายแรงใจไปพัฒนาประเทศชาติ ผมไม่อยากให้ชีวิต เลือดเนื้อของประชาชนคนไทย ข้าราชการ หรือฝ่ายไหนก็แล้วแต่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เอากำลังไปสู้รบปรบมือกับอริราชศัตรูดีกว่า” พ.ต.ท.ยงยุทธกล่าว

ส.ต.ท.ชัชชัย คชาชื่น

ส.ต.ท.ชัชชัย คชาชื่น อายุ 28 ปี จากสภ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นหนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด เขาเล่าว่า ตำรวจจากชลบุรีมากัน 2 กองร้อย โดยเขามากทม.ก่อนแล้ว 3 วัน เตรียมความพร้อมอยู่ที่ สตช. การมาควบคุมฝูงชนนั้นจะหมุนเวียกันมาระหว่าง 2 กองร้อยในชลบุรี และภาระกิจต่อครั้งกินเวลา 10 วัน ได้พัก 10 วัน ตัวเขาเข้าเวรมาควบคุมฝูงชนแล้วหลายครั้ง

“10 ครั้งที่มาควบคุมฝูงชนนั้น ทุกครั้งที่ม็อบจะเคลื่อนไปไหน หากเป็นกลุ่ม คปท.จะอันตรายทุกครั้ง เพราะม็อบ คปท.ค่อนข้างรุนแรง จะเป็นพวกเด็กอาชีวะ เป็นพวกระดับหัวโจกแกนนำหัวรุนแรง ดังนั้นตำรวจไปควบคุมตรงนั้นต้องใช้ความระมัดระวังมาก เนื่องจากตำรวจมีแต่โล่และไม่มีนโยบายให้ใช้อาวุธ”

เขาสะท้อนว่า นโยบายที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธนี้ ทางผู้ปฏิบัติงานเรียกร้องกับผู้บังคับบัญชาให้มีการเปลี่นแปลงโดยตลอด แต่ไม่ประสบผล  

“เราก็ขอไป ทุกคนที่เป็นกองร้อยควบคุมฝูงชนก็มีไลน์ของกลุ่มก็ขอนายว่าทำไมไม่ให้พก เหตุการณ์ก็มาขนาดนี้ยังจะบอกว่า “สงบ อหิงสา” อีกหรอ ยังจะไม่ให้พกปืนอีกหรอ แต่ก็เหมือนเดิม นโยบายก็ห้ามพก แม้แต่สัญญาบัตรก็ถูกห้ามพกอาวุธ ในส่วนที่เป็นชุดควบคุมฝูงชน แต่จะมีชุดที่เป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ อย่างชุด นเรศวร 261 พวกนั้นจะมีอาวุธ แต่ก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่มีใครกล้าสั่งตอบโต้” ส.ต.ต.ชัชชัยกล่าว

สำหรับเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า เขาเล่าว่าตำรวจตั้งแถวตั้งแต่ 6 โมงเช้าตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีกำลังพลประมาณ 14 กองร้อย ห่างจากการชุมนุมประมาณ 500-600 เมตร มีการเจรจากันในช่วงสายผ่านเครื่องเสียงและการพูดคุยผ่านตัวแทน เมื่อไม่มีความคืบหน้าก็มีคำสั่งเริ่มตั้งแถวประมาณ 10.00 น.แล้วขยับเข้าไป ทางม็อบเขาก็ขอเจรจาอีกครั้งแต่ยังไม่คืบหน้า หลังจากนั้นประมาณ 1 ชม. แนวของตำรวจก็ขยับเข้าไปใกล้อีก ทำให้ทางม็อบแจ้งว่าจะคุยกับทางม็อบใหญ่คือกับทาง กปปส. ว่าจะให้คืนพื้นที่ขนาดไหน

“หลังจากนั้นม็อบก็ยืนยันว่ายังไงก็ไม่ยอมให้พื้นที่ โดยอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่หลักในการชุมนุม ถ้าปล่อยพื้นที่ตรงนี้ไปก็ทำให้เข้าถึงทำเนียบรัฐบาล ทำให้รัฐบาลทำงานได้ ผู้การ พล.ต.ต.คัชชา (ธาตุศาสตร์) ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ก็พยายามขอเจรจา แต่ตัวแทนที่ม็อบไม่ยอม เหมือนเขาประวิงเวลารออะไรอยู่ แม้ตรงนั้นจะเป็นที่ชุมนุมของกองทัพธรรม แต่ก็มี คปท.อยู่ด้วย เนื่องจากมีการเรียกระดมคนเข้ามาตรงนั้นด้วย”

“พอประมาณ 11 โมง ก็เริ่มคุยไม่รู้เรื่อง ผู้การสั่งให้เดินหน้าเข้าไปเรื่อยๆ ทีละ 10 เมตร 20 เมตร จนถึงหน้าเวที เขาเริ่มเอาพวกคนแก่มานั่งสวดมนต์อยู่ข้างหน้า เราก็ไม่ได้สนใจและเดินผ่านไป แต่คนที่เริ่มมีอาการฉุดกระชากเจ้าหน้าที่เราก็เชิญตัวมาขึ้นรถห้องขัง ส่วนคนที่นั่งเฉยๆ เราก็ปล่อยเขานั่งต่อไป หลังจากนั้นก็เริ่มรื้อแนวบังเกอร์ของเขา ช่วงแรกไม่มีอะไร ทางเขาก็เอาด้ามธงตีมาโล่ แต่ก็ยังไม่มีอะไรมากกว่านั้น หลังจากนั้นเริ่มรื้อกระสอบทราย รื้อตาข่าย เอารถออก พอเข้าแนวด้านในที่เป็นเต๊นท์ก็เริ่มมีการปาก้อนหิน ประทัดยักษ์ ระเบิดเพลิง จนสักพักมีเสียงปืนดังขึ้น ผู้การเลยสั่งให้ชุดพิเศษออกมา เริ่มใช้แก็สน้ำตา”

เขาอธิบายว่า ตำรวจควบคุมฝูงชนชุดธรรมดาคือชุดที่มีโล่กับตะบอง ส่วนชุดพิเศษนั้นมีปืนยิงกระสุนยางและแก็สน้ำตา ส่วนชุดคุ้มครองนั้นจะมีอาวุธปืน เผื่อไว้ในกรณีร้ายแรง แต่ขณะนั้นชุดคุ้มครองไม่ได้เข้ามาด้านใน

“พอชุดผมซึ่งเป็นชุดพิเศษเข้าไปก็ใช้แก็สน้ำตาขว้างไป แต่ทางผู้ชุมนุมไม่กลัวมีการขว้างกลับมา หรือเอาผ้าคลุมเพื่อไม่ให้ควันกระจายบ้าง รวมทั้งฝั่งเขาก็มีการขว้างแก็สน้ำตาของเขาเองที่ไม่ใช่ของตำรวจมาด้วย สักพักก็มีเสียงปืนเสียงประทัดดังมาอีกจากฝั่งเขา เราจึงนำโล่เหล็กมาบังและไม่ได้เดินรุกหน้าเข้าไปต่อ”

“ในตอนแรกผมถือโล่เหล็กอยู่ ส่วนเพื่อนอีกคนถืออาวุธปืนยิงกระสุนยาง ฝั่งผู้ชุมนุมที่เป็นผู้สั่งการก็ประกาศให้เจ้าหน้าที่หยุดใช้กระสุนยางยิง ทางฝังเจ้าหน้าที่ก็โต้กลับไปว่าทำไมไม่บอกให้ฝั่งผู้ชุมนุมหยุดก่อน ในเมื่อฝั่งคุณปาละเบิดเพลิงมาจนเต็นท์ไหม้และก็ต้องไปดับกัน มีหิน ขวดแก้วขว้างมาตลอดเวลา รวมทั้งมีการยิงเข้ามาด้วย แต่เนื่องจากขณะนั้นแนวหน้าของตำรวจเป็นโล่เหล็กแล้ว กันกระสุนได้ เวลายิงมากระทบโล่”

“ผมยืนยันว่าเสียงปืนดังมาจากฝั่งผู้ชุมนุมก่อน และตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เพียงกระสุนยาง เพราะถ้ามีกระสุนจริงจากฝั่งตำรวจยิงไป ตำรวจคงไม่เจ็บแบบนี้ เสียงปืนก่อนระเบิดนั้นมาไม่ถี่ คือมีเสียงโป้งๆๆ แล้วก็เงียบไป แล้วก็มีเสียงประทัดมาบ้าง เสียงระเบิดที่ทำเองดังขึ้นมาบ้าง แล้วก็มีหินมีขวดแก้วมาตลอดช่วงนั้น ในระหว่างนั้นยังไม่มีตำรวจบาดเจ็บ ส่วนผู้ชุมนุมในเวลานั้นน่าจะยังไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน อาจจะมีที่บาดเจ็บจากแก็สน้ำตา”

หลังจากนั้นหน้ากากกันแก็สน้ำตาของเขาหลุด เขาจึงออกมาล้างหน้า และเปลี่ยนจากถือโล่เป็นถือลูกซองกระสุนยางแทน แล้ววิ่งเข้าไปใหม่ โดยหลบหลังด.ต.ธีรเดชที่เตะระเบิด จุดที่อยู่แนวหน้าขณะนั้นไม่น่าจะมีตำรวจเกิน 30 นาย

“อยู่ได้ไม่ถึงนาทีก็กวักมือเรียกน้องอีกคนที่วิ่งมาตอนหลัง ก่อนระเบิดจะมากระทบที่โล่เขา ผมพยายามกวักให้คนเข้ามารักษาแนว แต่ไม่มีคนเข้ามาเนื่องจากกลัว เพราะเสียงปืนช่วงนั้นจะดังตลอด พอมีน้องวิ่งเข้ามาก็มีเสียงดัง ป๊อง! พี่ธีรเดชก็พลิกโล่ดู แล้วบอกว่าระเบิด ผมก็มองเห็นระเบิดแล้ว พี่ธีรเดชก็พลิกโล่เตะ ผมก็พลิกตัวหมอบ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าโล่นั้นกันระเบิดได้ไหม”

ผลคือ สะเก็ดระเบิดเข้าที่ขาทั้ง 2 ข้าง และข้างลำตัว

เขาเล่าต่อว่า ก่อนหน้าที่จะมีระเบิดนั้น มีตำรวจคือ ส.ต.ต.ศราวุธ ชัยปัญหา ถูกยิงที่ศรีษะเข้าหน้าผาก เขาเพิ่งเป็นตำรวจได้ 3-4 เดือนและมาม็อบเป็นครั้งแรก เขาถูกยิงทางฝั่งขวาของสะพานผ่านฟ้า ขณะที่ชุดที่ถูกระเบิดจะอยู่ฝั่งซ้ายของสะพาน

“เวลาระหว่างที่น้องเขาถูกยิงที่ศรีษะ กับตอนระเบิดนั้นห่างกันแป๊บเดียว พอลากน้องศราวุฒิออกมาจากจุดถูกยิง ผู้การก็ตะโกนว่า “คุณสะใจแล้วใช่ไหม เห็นเลือดคนไทยด้วยกัน คุณสะใจแล้วใช่ไหม คุณอยากให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม” หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีก็เกิดระเบิด” ส.ต.ท.ชัชชัยเล่า

“หลังจากเกิดระเบิด ผมก็ขาชาและคลานออกมาหลบมาอยู่ติดกับราวสะพาน ขณะนั้นก็ยังมีเสียงปืนดังมาตลอด รวมทั้งเสียงโห่ของกลุ่มผู้ชุมนุม ตะโกนดีใจว่า “สมน้ำหน้ามึงๆ” “สมควรโดนๆ” ตอนนั้นเราพยายามเอาพี่ธีรเดชที่เตะระเบิดออกไปคนแรก แล้วก็ทยอยไปเรื่อยๆ ผมก็พยายามพาตัวเองมาขึ้นรถพยาบาล แม้ขึ้นรถพยาบาลแล้วก็ยังมีก้อนหินมีอะไรปาเข้าใส่รถพยาบาลอยู่” ส.ต.ท.ชัชชัย เล่า

เขาเล่าต่อว่า ไม่เห็นว่าใครเป็นคนปาระเบิด แต่ตอนนั้นในเต็นท์ด้านในมีพวกที่ใส่โม่ง ใส่ชุดพราง ใส่หมวกกันน็อคและคลุมหน้า ผลัดกันออกมาปาประทัดยักษ์ ส่วนผู้ชุมนุมนั้นออกไปแล้ว เพราะช่วงแรกหลังเดินผ่านผู้ชุมนุมที่นั่งสวดมนต์นั้นก็ผู้ชุมนุมทยอยออกไปเองบ้าง รวมทั้งตำรวจควบคุมฝูงชนที่เป็นผู้หญิงก็จะคอยเชิญออกบ้าง คนที่ออกไปแล้วก็จะอยู่ 2 ข้างถนน ในเต๊นท์ส่วนใหญ่ที่เหลือจะเป็นการ์ดและแกนนำ

เขาเล่าอีกว่า ก่อนเกิดเหตุตำรวจนอกครื่องแบบได้นำตัวแกนนำคือสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาควบคุมตัวที่รถ สักพัก หลังจากนั้นก็เริ่มรุนแรง เมื่อเกิดระเบิดแล้วทราบว่ามีชุดพิเศษของกลุ่มผู้ชุมนุมบุกชิงตัวกลับไป ซึ่งขณะนั้นเขาไม่ได้อยู่ในจุดนั้น

“สิ่งที่เราเสียเปรียบในปฏิบัติการคือเราไม่มีจุดสูงข่ม เพราะเมื่อเราเอาตำรวจขึ้นไปอยู่ตึกสูงก็ถูกกล่าวหาว่ายิงใส่ผู้ชุมนุม อย่างกรณีปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ทำให้ไม่เอาขึ้นไปในปฏิบัติการ เมื่อไม่เอาขึ้นไปก็กลายเป็นแบบวันนี้ โดนฝ่ายเขาขึ้นไปอยู่ด้านบนและยิงลงมาตลอด แม้ขณะเกิดเหตุจะไม่เห็นว่าใครยิง แต่วิถีการยิงบางส่วนมาจากมุมสูง”

สำหรับความรู้สึกหลังจากโดนระเบิดแล้ว เขากล่าวว่า “ผมก็ยกมือไหว้พระเพราะขณะนั้นขาไม่มีความรู้สึก เลือดออกมาก ทีแรกนึกว่ากระดูกแตก และผมเองก็ใกล้จะแต่งงาน ตอนยังไม่โดนระเบิดนั้นใจก็ยังสู้อยู่ อยากจะขอคืนพื้นที่เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว พวกผมไปจนไม่อยากจะไปแล้ว พัก 10 วัน ไป 10 วัน อยู่อย่างนี้ตลอดไม่ได้เป็นอันทำอะไร งานแต่งผมยังไม่ได้แจกการ์ดสักใบ ทั้งที่จะแต่งในวันที่ 9 มี.ค.นี้แล้ว”  

“ใจก็อยากให้ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้พกอาวุธได้ เพราะม็อบไม่ได้มามือเปล่า แม้ส่วนใหญ่มือเปล่าก็จริงอยู่ แต่คนที่สนับสนุนเขาอยู่ด้านหลังมีอาวุธ และพร้อมจะใช้มันกับตำรวจอยู่ตลอด เหมือนว่าทุกครั้งเป็นการเอาโล่มนุษย์มาวางไว้ให้ม็อบทำลายอย่างเดียว พอทำอะไรรุนแรงกลับไปก็โดนเล่นงานอีก มันไม่มีอะไรดีเลยเวลาไปม็อบ ทำอะไรไม่ได้เลย ศาลก็ออกคำสั่งมาแบบนั้นอีก ตอนนี้เหมือนกับว่าตำรวจมารอวันตายอย่างเดียว ทุกครั้งที่ผมมาก็คิดอย่างเดียวว่าวันไหนจะถึงคิวเราเท่านั้นเอง”

“ความรู้สึกกับผู้ชุมนุมนั้น ผมเข้าใจว่าบางคนก็มีอุดมการณ์จริงๆ เมื่อตอนแรกที่ไปรักษาที่หัวเฉียวก็ยังคุยกับผู้ชุมนุมที่เจ็บ ก็บอกกันว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง แต่คนเจ็บไม่ใช่แกนนำหรือผู้บังคับบัญชาที่อยู่สูงๆ เป็นเพียงลูกน้องกับระดับชาวบ้านที่มีอุดมการณ์ที่มาร่วม แกนนำก็รับผลประโยชน์ไป ผู้บังคับบัญชาก็รับไปหากมีความดีความชอบ ถามว่าลูกน้องและคนที่ไปเดินขบวนได้ประโยชน์อะไรไหมจากการชุมนุม เหมือนต่างคนต่างเอาโล่มนุษย์เป็นกำบัง พวกเราก็รอวันที่จะโดนอย่างเดียว”  

ด.ต.ธานี อ้วนศรี

ด.ต.ธานี อ้วนศรี เป็นตำรวจสายตรวจ จาก สภ.ชลบุรี เขาเพิ่งกลับบ้านไปพักได้เพียง 2 วันก็ถูกเรียกกลับมาอีกครั้งในวันเกิดเหตุ

“ก่อนหน้านี้ก็อยู่ตอนเสธ.อ้าย แต่อันนั้นไม่หนัก เพราะเขาไม่ได้มีอาวุธ แค่เล่นแก๊สน้ำตากันอย่างเดียว ตรงนี้มีอาวุธหนัก ไม่รู้จะทำยังไง ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ใช้อาวุธ นายเขาประเมินแล้วว่าไม่น่ามีอะไร เพราะเป็นกองทัพธรรม การ์ดก็สุภาพเรียบร้อย น่าจะคุยกันได้ แต่ก็คุยกันไม่ได้ ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ดาหน้าไปเรื่อยๆ ทีละ 10 ก้าว เพื่อกดดัน ผมอยู่แนวที่สองของกองร้อย ช่วงดาหน้าเข้าไป แต่ช่วงที่มีเหตุการณ์แล้ว จัดแนวไม่ได้แล้ว จะดาหน้ารับลูกปืนไม่ได้แล้ว ใครหลบกลุ่มไหนก็ต้องอยู่ตรงนั้น”

“พอตำรวจดาหน้าเข้าไปก็มีเสียงปืน ปัก ปัก ปัก ปัก มา มาจากตรงข้ามสะพานผ่านฟ้า ทางตึกการบินไทย ตำรวจก็หลบกัน นักข่าวก็ตามตูดมาด้วย ซีเอ็นเอ็นนี่กดหัวลงให้หลบก็ไม่ค่อยจะลง วิ่งเพ่นพ่านไปหมด วิ่งสับไปสับมา ปืนดังปังๆๆๆ ยังไม่กลัวเลย”

ด.ต.ธานีเล่าว่า ระหว่างที่มีเสียงปืนก็ขว้างแก๊สน้ำตาไป โดยเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจะพกติดหน้าอกคนละ 10 ลูก ชุลมุนกันอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็โดนระเบิด

ก่อนระเบิดมาไม่นานนัก ด.ต.ธานีวิ่งเข้ามาเสริมกำลังบนสะพานผ่านฟ้าเนื่องจากเห็นว่าคนน้อย เขาเข็นรถกระบะที่จอดอยู่ใกล้ๆ ตั้งใจให้บังแนววิถีกระสุนที่ยิงเข้ามา แต่เป็นทางลาด รถจึงไหลลงไป

“ผมอยู่ไม่ไกลจากคนเตะระเบิด ไม่กี่เมตร จะมาช่วยเขาทำแนวป้องกัน มีเสียงปืนดังตลอด กวักมือเรียกเพื่อนเข้ามาๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามา เราก็ลุกไม่ได้ ก็ต้องนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งหมด ตอนระเบิดก็เข้ามือเต็มๆ เสื้อเกราะเป็นรู กระแทกกับเสื้อเกราะกันกระสุน สะเก็ดระเบิดฝังอยู่ในอกด้านซ้าย ตอนนั้นผมก็กระเด็นเหมือนกัน ล้มระเนระนาดเลย”

เมื่อถามถึงขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ เขาตอบว่า “มันก็ต้องทำตามนโยบาย จะพกปืนไปยิงชาวบ้านก็ไม่ได้ มีอาวุธโล่กระบองเพื่อผลักดัน ป้องกัน เรามาหลายรอบแล้วตั้งแต่ปี 48 ไม่กังวลแล้ว ยังไงมันต้องโดนซักวัน คิดอยู่แล้ว”

สำหรับข้อเรียกร้องต่อผู้บังคับบัญชา ด.ต.ธานีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เวลาลงสนามจริงขอหมวกที่กันกระสุนได้ไหม ที่ใส่อยู่เป็นหมวกพลาสติก หมวกกันน็อคธรรมดา แล้วก็สนับเข่าก็ขอแบบกันกระสุนได้ด้วยก็ดี เพราะที่ใช้เป็นพลาสติก อุปกรณ์ที่เราใช้มันแค่ป้องกันไม้ หิน เท่านั้นเอง ไม่ได้ป้องกันอาวุธหนัก เสื้อกันกระสุนของเราเราก็ซื้อเอง ของโรงพักอาจมีให้ แต่มันไม่พอ ส่วนใหญ่ก็ซื้อเองทั้งนั้น ตัวละสองสามพัน เป็นเหล็ก ไม่ใช่หนังอ่อน มันก็หนักหน่อย ที่ทางการเขาแจกเป็นใยสังเคราะห์มีการหมดอายุ 5-7 ปี แต่มันก็ยังใช้กันอยู่ เราก็ไม่อุ่นใจ เลยซื้อเองดีกว่า”

“แล้วก็เรื่องวันพักที่น้อยมาก ผมมีลูก 2  คน เวลามาประจำการ ลูกๆ ป่วยก็เข้าคลีนิกให้น้ำเกลือเองเลย เพราะแม่ก็ทำงาน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่พฤศจิกายนแล้ว มันเครียดมาก มันพักน้อยเกินไปสำหรับจังหวัดชลบุรี บางที 17  วันก็ยังเคยอยู่มาแล้ว เวลาพักก็ไม่ใช่ว่ากลับไปนอนอยู่บ้านเฉยๆ คือกลับไปทำงานประจำนั่นแหละที่โรงพัก” ด.ต.ธานีกล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net