Skip to main content
sharethis

หัวอกแม่ เมื่อลูกน้อยและเด็ก 12 คนเป็นเหยื่อระเบิดเมืองปัตตานี เด็กหญิงวัย 5 ขวบนอนร้องครวญคราง เธอต้องสูญเสียขาขวาไปจากแรงระเบิด เมื่อเด็ก 6 ขวบถูกเสาไฟฟ้าล้มทับดับอนาถต่อหน้าพ่อและแม่ ชาวบ้านธรรมดาที่ภาพแห่งความสุข ชีวิตที่ร่าเริงเลือนหายไปกับความรุนแรง

แวซีตีอัยซะห์ แวหลง

ที่เตียงโรงพยาบาลปัตตานี เด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ แวหลง อายุ 5 ปี ร้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดแผลอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอคงจะรูตัวแล้วว่าเธอได้สูญเสียขาขวาไปแล้วตลอดชีวิต

เด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ แวหลง เป็นหนึ่งในเหยื่อเด็ก 12 คนที่ถูกแรงระเบิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา กระชากเนื้อขาจนหลุดลุ่ยเหลือแต่กระดูก เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้านางนะดา สาวิชัย แม่ของเธอเอง และแม่ของเธอก็คงเจ็บปวดไม่แพ้เหยื่อคนอื่นอีกหลายสิบคนที่ประสบเหตุอีกหลายจุดในคืนเดียวกัน

แม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่เสียงระเบิด ยิงและฆ่ายังกึกก้องโหยหวนวนเวียนอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆมากนักจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองบริหารประเทศและกำลังวุ่นๆอยู่กับการจัดการคู่ขัดแย้งกลุ่มต่างๆอยู่ในขณะนี้

 

นะดา สาวิชัย

นางนะดา สาวิชัย แม่ของเด็กหญิงแวซีตีอัยซะห์ เล่าถึงเหตุระทึกในคืนนั้นว่า เวลาประมาณ 19.00 น. เธอกับลูกสาวแวะเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น สาขาถ.นาเกลือ หลังกลับเยี่ยมเพื่อน หลังจากเลือกสินค้าเสร็จ ขณะลูกสาวเดินไปหาเธอเป็นจังหวะที่เกิดระเบิดพอดี จุดที่ระเบิดอยู่ใกล้ขาของลูกสาวของเธอมาก แรงระเบิดทำให้ขาขวาเนื้อหลุดจนเหลือแต่กระดูกอย่างสยดสยอง ส่วนข้างซ้ายเละ

“หลังเสียงระเบิดไฟฟ้าก็ดับประมาณ 1 นาที แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าเป็นระเบิด เพราะมองไม่เห็นอะไร กระทั่งเมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง ลูกสาวก็เรียกฉันให้ดูที่ขาของเขาซึ่งทำให้ฉันตกใจมาก เพราะขาข้างหนึ่งเหลือแต่กระดูกซะแล้ว”

“ฉันร้องขอความช่วยจากคนบริเวณนั้น แต่ไม่มีใครมาช่วย ฉันจึงอุ้มลูกสาวออกไปนอกร้าน เพื่อขอให้คนมาช่วย กระทั่งมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยพาไปโรงพยาบาล”

เธอเล่าด้วยว่า ที่จริงจุดที่เธอยืนอุ้มลูกสาวรอความช่วยเหลืออยู่นั้น อยู่ใกล้ๆ กับถังขยะใบหนึ่ง ซึ่งทราบทีหลังว่ามีระเบิดอยู่ในนั้นอีก 2 ลูก แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงาน ซึ่งจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่เกิดระเบิดซ้ำ แต่หากมันระเบิดขึ้นในตอนนั้นเธอกับลูกสาวคงตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว

“ตอนนั้น ฉันพยายามพูดคุยกับลูกตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ลูกหลับและบอกลูกตลอดเวลาว่า ให้นึกถึงอัลลอฮ (พระเจ้าที่ชาวมุสลิมนับถือ) ไว้” เมื่อถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็นำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ซึ่งผลจากระเบิดครั้งนี้ทำให้แพทย์ต้องตัดขาข้างนั้นไป

นางนะดา เล่าว่า ตอนนี้ลูกสาวยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีอยู่อีก และมีอาการสะดุ้งอยู่ด้วยวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนสภาพจิตใจน่าจะยังไม่ดีต้องรักษากันต่อไป

“หมอบอกว่าลูกสามารถเดินได้ด้วยการใส่ขาเทียม แต่ต้องรักษาให้หายตามปกติเสียก่อน จากนั้นทำกายภาพบำบัดและฝึกเดินด้วยขาเทียม” ส่วนเรื่องอนาคตค่อยว่ากันว่าจะเอาอย่างไร แต่อยากสนับสนุนให้ลูกได้เรียนหนังสือตามที่เขาต้องการ

สิ่งที่นางนะดาอยากฝากบอกคนก่อเหตุดูเหมือนจะคล้ายกับเสียงผู้สูญเสียคนอื่นๆ ที่มักบอกว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครับของพวกเขา พวกเขาจะรับได้หรือเปล่า หากยังรับได้คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนแล้ว

“วันหนึ่งเราเล่นกับลูกอย่างร่าเริงและมีความความสุข แต่หลังจากนี้ความร่าเริงและความสุขนั้นก็อาจจะหายไป ฉันก็พยายามที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้” นางนะดา กล่าว

 

รอฮิมะ สิเดะ

บึ้ม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมืองปัตตานี ทันใดนั้นไฟฟ้าก็ดับลง แต่เสียงระเบิดยังดังต่อเนื่องอีกหลายลูก ผู้คนเริ่มแตกตื่น

นางรอฮิมะ สิเดะ กำลังซื้อกับข้าวอยู่ที่ย่านปากน้ำ เสียงระเบิดลูกแรกเธอคิดว่าเป็นฟ้าผ่า แต่เมื่อตามด้วยไฟดับ เธอก็มั่นใจทันทีเหมือนคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ว่ามันต้องเป็นระเบิดแน่ๆ เธอรีบไปรับลูกชาย 2 คนที่กำลังเรียนคัมภีร์กุรอานที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี นำกลับไปที่บ้านสามีที่บ้านเจ๊ะดีซึ่งอยู่นอกเมืองปัตตานีไม่ไกล ที่จริงเธอมีบ้านอยู่ในตัวเมืองย่านปากน้ำ แต่คืนนั้นเธอยืนยันกับสามีว่าอยากกลับไปที่บ้านเจ๊ะดีเหมือนทุกวัน

“อาแบก็ถามแล้วว่าจะกลับบ้าน ที่เจ๊ะดีแน่หรือ ก็ยังยืนยันว่าอยากกลับ แล้วอาแบก็ถามอีกว่าจะกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์กี่คัน ก็บอกว่าจะกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันเดียว”

จากนั้นนายอิสเฮาะ สิเดะ สามีของเธอก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยมีเด็กชายมูฮำหมัดอิลฟาน สิเดะ ลูกชายคนสุดท้องอายุ 6 ปีนั่งหน้าสุด ส่วนเด็กชายมูฮำหมัดอิลฮัม วัย 8 ปีลูกชายคนที่ 3 นั่งกลางและเธอเองที่นั่งซ้อนท้ายสุด

ครั้นขับมาตามทางหลวงหมายเลข 42 ใกล้ถึงทางเข้าบ้านเยื้องกับอาคารสำนักงานบริษัท TOT ม.8 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมืองปัตตานี ก็ได้ยินเสียงบึ้มดังขึ้นอีกและเสาไฟฟ้ากำลังล้มลงมา ในจังหวะที่สามีควบมอเตอร์ไซค์มาถึงพอดี และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสาไฟฟ้าล้มฟาดลงลงทับบนร่างของ ด.ช.มูฮำหมัดอิลฟานพอดี และมอเตอร์ไซค์ก็ล้มลง

“ฉันเรียกหาลูกก่อนเลย แล้วก็สอนให้กล่าวคำกาลิมะห์ชาฮาดะห์(คำปฏิญาณภาษาอาหรับแปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ เพื่อให้คนเจ็บกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนเสียชีวิต) จากฉันเองก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย”

กะมะห์ เล่าต่อไปว่า เธอมารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีแล้วและเห็นคนเจ็บเต็มไปหมด แต่ข้างตัวเธอมีเพียงลูกชายคนที่ 3 เธอตามหาลูกคนเล็กอยู่ 2 ชั่วโมง มาเจออีกทีก็อยู่ที่ห้อง ICU แล้วและเป็นจังหวะเดียวกับที่หมอเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจ

“หมอให้เซ็นชื่อรับรองการเสียชีวิต.... “ ศพถูกนำกลับถึงบ้านประมาณเที่ยงคืน และได้ทำพิธีการฝังในตอนเช้า

 

มูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะ

ระหว่างตามหาลูกคนเล็ก ลูกคนที่ 3 คือเด็กชายมูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะก็ต้องทนต้องทนทรมานอยู่หลายชั่วโมง เนื่องจากทั้งหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมีจำนวนไม่เพียงพอกับจำนวนคนเจ็บ ตอนนั้นมีคนเจ็บราว 50 คน เป็นช่วงเวลาที่ชุลมุนมาก จึงทำให้หมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เลือกที่จะช่วยคนที่เจ็บหนักกว่าไว้ก่อน ปล่อยให้คนที่บาดเจ็บน้อยกว่านั่งทนความเจ็บปวดทรมานทั้งทางกายและทางใจไปก่อน

เธอเล่าว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ทำแผลให้มูฮำหมัดอิลฮัมแล้ว เขาก็ยังคงบ่นถึงความเจ็บปวดที่แขนซ้ายทั้งคืนจนถึงเช้า ซ้ำเมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอจึงขอให้พยาบาลมาตรวจหลายครั้งกว่าจะได้ตรวจ กระทั่งพบว่ากระดูกแขนซ้ายร้าว และมีเลือดคั่งอยู่ในท้อง เป็นเหตุให้อาเจียนออกมาเป็นเลือด

“ฉันขอดุอา(ขอพร)อยู่เสมอว่าขอให้เหตุการณ์แบบนี้อยู่ไกลห่างจากตัวเรา แต่ก็หนีไม่พ้นโดยไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น”

 

อิสเฮาะ สิเดะ

ส่วนนายอิสเฮาะ สิเดะ สามีของเธอก็บาดเจ็บช้ำในพอสมควร ตอนนี้ก็ปลอดภัยและรู้สึกตัวดีแล้ว แต่หมอก็ยังคงให้รอดูอาการอยู่ห้อง I.C.U ไปก่อน ส่วนเธอเองได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว

ครอบครัวสิเดะมีลูก 4 คน คนแรกเป็นลูกชาย กำลังเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนศาสนูปถัมภ์ จ.ปัตตานี คนที่ 2 เป็นลูกสาว กำลังเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนสะบารัง จ.ปัตตานี ลูกคนที่ 3 คือมูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะ ที่บาดเจ็บกำลังเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนสะบารัง และคนสุดท้องที่เสียชีวิตกำลังเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนสะบารัง

ครอบครัวสิเดะเป็นชาวบ้านธรรมดา โดยนายอิสเฮาะหาเลี้ยงครอบครัวจากการขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างในตัวเมืองปัตตานี ส่วนกะมะห์เป็นแม่บ้าน พวกเขาไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบันก็เป็นของญาติสามี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังที่จะให้ลูกทั้ง 3 คน ที่มีผลการเรียนอยู่ในขั้นเรียนดี จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเยียวยาทั้งทางทุนทรัพย์และทางจิตใจให้กลับคืนสู่ปกติในเร็ววัน

 

เด็ก 12 คน เหยื่อระเบิดปัตตานี

ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทางยุทธศาสตร์วิธี กองอำนวยการักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า สรุปเหตุการณ์ในคืนดังกล่าว พบว่า มีทั้งเหตุลอบวางระเบิดและก่อกวนในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.หนองจิก รวมกว่า 13 จุด มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้น คือ ด.ช.มูฮำหมัดอิลฟาน สิเดะ อายุ 6 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112/1 ม.3 ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 61 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 12 คน ได้แก่  

1.ด.ญ.อัสมา มีเด็ง อายุ 7 ปี 

2.ด.ช.ธนกิจ แดงมณี อายุ 2 ปี อาการสาหัส รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา

3.ด.ช.ศุภกิจ แดงมณี อายุ 2 ปี

4.ด.ญ.ณิชานันท์ ธรรมปิลัน อายุ 11 ปี

5.ด.ญ.แวซีตีอัยจะ แวหลง อายุ 5 ปี

6.ด.ญ.นาอีมะ เวาะโซ อายุ 2 ปี

7.ด.ญ.ชาลิษา คงชน อายุ 3 ปี

8.ด.ช.กิตติเดช มณีรัตน์ อายุ 1 ปี

9. ด.ช.จริภาส ละอองจินดา อายุ 8 ปึ

10.ด.ช.มูฮำหมัดไอกาน เจ๊ะ อายุ 1 ปี

11.ด.ช.ชาลิดา คงชน อายุ 2 ปี

12.ด.ช.มูฮำหมัดอิลฮัม สิเดะ อายุ 8 ปี

เยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี

1.นายซามานี ฮะ อายุ 16 ปี

2.นายมูฮำหมัดยากี สาและ อายุ 16 ปี

3.นายอิสมาแอ ดอนิ อายุ 17 ปี

4.นายสุนทร มาลายา อายุ 17 ปี

5.นายมูฮัมหมัดซอฟ ตูงา อายุ 18 ปี

6.นายอัยฟัร เจกาเดร์ อายุ 18 ปี

 

เด็กกำพร้าชายแดนใต้ 5 พันกว่าคน

ขณะที่แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยข้อมูลของโครงการการดูแลเยียวยาจิตใจและเสริมสร้างความเข็มแข็งแก่เครือข่ายเพื่อลดผลกระทบจากความรุนแรงต่อเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 ว่าในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้มีเด็กกำพร้าจากความรุนแรงในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 5,686 คน โดยเป็นเด็กที่กำพร้าบิดาถึง 5,367 คน กำพร้ามารดา 235 คน และกำพร้าทั้งบิดาและมารดา 84 คน

สำหรับข้อมูลเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พบว่าตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 – 6 เมษายน 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 460 คน โดยเสียชีวิต 69 คน และบาดเจ็บ 391 คน และมีผู้หญิงที่เป็นหม้ายจำนวน 2,705 คน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net