"มือถือสาก ปากถือศีล" "ปากว่า ตาขยิบ" "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"
"หน้าไหว้ หลังหลอก" "ปากปราศัย น้ำใจเชือดคอ"
สำนวนสุภาษิตไทยเหล่านี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และลักษณะความเป็นไปของชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใน ณ ดินแดนแถบสุวรรณภูมิหรือลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน นั่นเพราะความหมายที่สะท้อนและแสดงออกถึงการกระทำและคำพูดที่มีลักษณะตรงข้ามกัน หรือขัดแย้งกันเสมอมา สุภาษิตส่วนใหญ่นี้ถูกจะใช้ไปเพื่ออบรมสั่งสอนหรือปกครองคนให้อยู่แต่ในกรอบที่ควรจะเป็น เสมือนหนึ่งเป็นคำสั่งสอนจากพ่อสู่ลูก การกล่าวอ้างคำศักดิ์สิทธิ์โดยคนชั้นปกครองนี้เป็นไปเพื่อใช้ควบคุมผู้อยู่ใต้ปกครองให้อยู่ในโอวาท หรือเป็นการสั่งสอนโดยผู้รู้ หรือผู้ที่ได้รับอาณัติจากสวรรค์ ที่เป็นการชี้นำให้สังคมโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งตามที่กลุ่มของตนปรารถนา แต่เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไปก็ถูกใช้เป็นการกล่าวอ้างเพียงเพื่อรักษาประโยชน์หรือมุ่งหาสิทธิพิเศษแห่งตน หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจจากสังคมรอบข้าง ณ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
สังคมไทยในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคที่ยังคงมีข้าทาสเป็นบริวาร เรื่อยมาจนถึงยุคแห่งความเป็นไทในปัจจุบันที่ทุกคนเชื่ออย่างสุจริตใจว่า ได้หลุดพ้นจากพันธนาการความเป็นบ่าวไพร่จากภายนอกแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงก็ยังไม่สามารถสลัดทิ้งจากพันธนาการที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจได้ รวมทั้งการสลัดทิ้งเพื่อหลุดพ้นจากการแบ่งชนชั้นตามธรรมชาติได้ ดังนั้นคำว่า เจ้ากับนาย บ่าวกับไพร่ ก็ยังคงฝักรากลึกและวนเวียนอยู่ในมโนสำนึกของชาติพันธุ์คนไทยตลอดมา ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะได้รับการศึกษาที่ดีขึ้นและขยับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้นในระดับหนึ่งก็ตาม และถึงแม้พวกเขาหล่านั้นได้พัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ในแถวหน้าของสังคมแห่งชนชั้นกลางระดับล่างจนถึงระดับสูงได้แล้วก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจที่ไม่อาจโยกคลอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ การแบ่งชนชั้นตามจารีตประเพณี และการสยบยอม หมอบกราบ ด้วยความภักดีโดยสุจริตใจ
พวกเขาอาจปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นความจริง พวกเขาได้หลุดพ้นและเป็นไทกับตัวเองแล้ว มีอิสระ มีความคิด และมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ขึ้นอยู่กับใคร เป็นเจ้านายของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขายังคงนับถือเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์ศฤงคาร ยังคงเคารพนอบน้อม พินอบพิเทา และยังคงเกรงกลัวทั้งต่ออาภรณ์ภายนอกที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ก็ดีของเหล่าชนชั้นปกครอง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงตามประเพณีหรือตามจารีตที่สืบทอดกันในวงศ์ตระกูล ชนชั้นสูงตามตำแหน่งหน้าที่การงาน ชนชั้นล่างที่ได้เลื่อนสถานะมาเป็นชนชั้นสูงแล้ว ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นโซ่ตรวนทางจิตใจที่จองจำอิสรภาพของตนเอง โดยตนเอง เพื่อตนเอง ได้ยอมรับโดยดุษฎีแบบไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องตั้งคำถาม เพราะเป็นสิ่งที่ซึมซับและรับรู้มาโดยการสัมผัส หรือเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่
ชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองเองก็ได้ผลิตซ้ำวาทกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งชักจูงและเป็นเครื่องมือหลอกล่อให้คนทั่วไปเชื่อและปฏิบัติตามกันเรื่อยมา อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องถามหาความชอบธรรม หรือใช้ไปเพื่อสร้างความเกลียดชัง ความโกรธแค้นชิงชังต่อฝ่ายตรงข้าม ชนชั้นเหล่านี้มักอ้างถึงคุณธรรม ความชอบธรรม ความดีงามในคติ ลิขิตจากฟ้า ที่ผสมผสานกลมกลืนไปกับความเชื่อทางศาสนาทั้งทัศนคติทางพุทธและพราหมณ์ เพียงเพื่อใช้ปกครองให้คนชนชั้นล่างเชื่อฟังโดยไม่ต้องสงสัย ห้ามค้นหาคำตอบจากฟากฟ้า ไม่มีเหตุผลแต่เป็นสิ่งสำเร็จรูปที่สังคมได้ยอมรับต่อๆ กันมา และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้สังคมสงบสุข เรียบร้อยและเป็นไปตามระบบตามแบบแผนที่ได้วางไว้
แต่ชนชั้นสูงเหล่านี้ก็คือกลุ่มคนที่ยังประพฤติปฏิบัติตรงกันข้ามกับความวาทกรรมที่ฝ่ายตนเองผลิตขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการได้ผลประโยชน์จากชนชั้นล่างโดยไม่ต้องลงทุน หรือเป็นการกดขี่ข่มเหงที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยความร่วมมือของบ่าวไพร่ในระดับรองลงไป แต่คนทั่วไปเองก็ไม่ได้รักษาหรือเรียกร้องสิทธิในความเท่าเทียมกันทางพฤตินัยเลย เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องของคนเป็นเจ้ากับคนเป็นนาย ไม่ใช่เรื่องของบ่าวและไพร่ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ถึงแม้จะเป็นถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่นั่นก็เป็นความกรุณาของเจ้านายที่เมตตาให้บ่าวไพร่ได้อยู่กันอย่างพอเพียงและเจียมตัว หาต้องกระเสือกกระสนหรือทะเยอทะยานเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองแต่อย่างใดไม่
ชนชั้นปกครองมักจะมีเหตุผลและข้ออ้างซึ่งจะประยุกต์คำอรรถาธิบายในความหมายใหม่ๆ ให้สอดคล้องกันเรื่อยมา แต่ก็เพื่อใช้ตักตวงผลประโยชน์และกล่าวอ้างอย่างชอบธรรมทั้งทางสังคมและทางกฎหมาย อาจเป็นเพราะศักดินาหรือการถือครองที่นาตามศักดิ์ในอดีตก็บ่งบอกถึงสถานะอันเหนือกว่าบ่าวไพร่ทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นสิทธิแห่งการยึดและถือครองผลประโยชน์ย่อมต้องตกเป็นของเจ้านายก่อนเสมอ แต่ในความเป็นปุถุชนคนธรรมดาแล้ว เจ้าและนาย บ่าวและไพร่ ก็ยังคงเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร นั่นย่อมแสดงถึงการยึดติดกับความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลส ตัณหา ราคะ ไม่ว่าฉากหน้าจะประดับด้วยเสื้อผ้าหรือเครื่องทรงแห่งศักดิ์อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ภายในก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งไม่ว่าจะครองสถานะเช่นไรก็ตาม
ในท้ายที่สุดแล้ว สังคมไทยจะเดินต่อไปได้อย่างไร หากไม่สามารถก่อตั้งและสถาปนาสิทธิแห่งความเท่าเทียมกันทางโอกาสของสุจริตชนได้ เมื่อผู้ใดก็ตามได้ลงมือกระทำการไปแล้วด้วยความอุตสาหะ ความพากเพียร ผู้นั้นควรได้รับและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แห่งสิทธิการกระทำของตน จึงจะสร้างความกระตือรือร้นแห่งการพัฒนาตนเองไปถึงที่สุด แต่หากว่าผลประโยชน์นั้นต้องถูกส่งต่อให้เจ้านายตามศักดิ์ที่สูงกว่า เพราะได้รับความเมตตาให้เป็นผู้อยู่รับใช้ สุดท้ายแล้วสังคมก็จะไม่เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือเกิดการยกระดับทางความคิดในมโนสำนึกได้ สังคมส่วนรวมก็จะไม่สามารถปลดปล่อยพลังการผลิตของสุจริตชนเหล่านั้นได้ ซึ่งพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็จะมอดไหม้ไปกับอายุขัยที่ดับลงพร้อมกับความว่างเปล่าที่ไม่สามารถสร้างสิ่งใดไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้ หรือดับลงไปพร้อมกับเปลวเทียนแห่งแสงสว่างที่จะนำพาคนเหล่านั้นให้หลุดพ้นจากการจองจำภายในจิตใจได้ หรือไม่ก็คนผู้นั้นก็จะกลายพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งของโลกสมมติที่ชนชั้นปกครองได้สร้างสิ่งจอมปลอมขึ้น พร้อมทั้งผลิตซ้ำด้วยวาทกรรมที่จะมีข้ออ้าง พร้อมที่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ในแต่ละยุคสมัย
คนเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ในสังคมหมอบกราบด้วยความเต็มใจ ความปลาบปลื้มใจ ภายใต้การปกครองแห่งการชี้นำ และเป็นเชื้อเพลิงที่ทรงพลานุภาพที่จะลุกไหม้ และให้พลังงานกับเครื่องจักรแห่งการอนุรักษ์นิยมนี้ได้แล่นต่อไปบนเส้นทางหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ แต่ยังคงหมุนเวียนอยู่ในวังวนแห่งบริบทเดิมตลอดไป ตราบนานเท่านาน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)