Skip to main content
sharethis

บอร์ด สปสช.ห่วงงบเหมาจ่ายรายหัวปี 58 ไม่พอหลังถูกแช่แข็ง เริ่มเห็นเค้าลางสารพัดปัญหา ด้าน รมว.สธ.คนใหม่ให้เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ รองปลัด สธ. หวั่นเกิดวิกฤตการเงินรุนแรงกระทบ รพ.ในสังกัด

23 ก.ย. 57 ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมนัดแรก ของ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. มีการพิจารณา “ข้อเสนอหลักเกณฑ์การดำเนินงาน และการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2558” เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อกระจายงบประมาณไปยังหน่วยบริการในพื้นที่

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาให้คงงบเหมาจ่ายรายหัวของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปี 2558 อยู่ที่ 2,895.09 บาท ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับงบเหมาจ่ายรายของปี 2557 รวมเป็นงบประมาณ 140,718.74 ล้านบาท 

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง สปสช. กล่าวว่า แม้ว่า สปสช.จะของบเพิ่มเติมที่เป็นไปตามสถานการณ์การบริการที่เกิดขึ้น อาทิ งบบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ งบการดูแลผู้ป่วยจิตเวช แต่กลับไม่ได้รับการจัดสรร ขณะเดียวกันยังถูกปรับลดลง เช่น งบประมาณที่ สปสช.เสนอเพื่อดูแลผู้ป่วยไตวายจำนวน 35,429 ราย แต่กลับได้รับจัดสรรงบน้อยกว่าที่ขอไป 419 ราย ทั้งยังถูกตัดงบค่าตอบแทนพื้นที่เสี่ยงภัยและงบพื้นที่ทุรกันดารอีกว่า 435.20 ล้านบาท และเมื่อประกอบกับจำนวนผู้มีสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2558 มีจำนวนลดลงกว่า 2 แสนคน จากการเปลี่ยนย้ายสิทธิ ส่งผลให้ภาพรวมงบเหมาจ่ายได้รับจัดสรรลดลง 

“จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทำให้ภาพรวมของงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2558 ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะการเงินทั้งระบบค่อนข้างตึง คนทำงานโดยเฉพาะผู้ให้บริการอยู่ในภาวะลำบาก ดังนั้นจำเป็นต้องหาทางป้องกันเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ อย่างเช่น การทบทวนราคากลางรายการอุปกรณ์และอวัยวะเทียม การต่อรองราคายา การจัดบริการสำรองยา และการขยายขอบเขตและเพิ่มเป้าหมายตรวจสอบการจ่าย และหากยังเป็นปัญหาคงต้องขออนุญาตให้ รมว.สาธารณสุข เสนอของบเพิ่มเติม” ดร.คณิศกล่าว

นพ.ทรงยศ เจริญชัยชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในกรณีที่งบไม่เพียงพอ หน่วยบริการจะต้องควักกระเป๋าจ่าย ซึ่งแนวโน้นในปีนี้มีโอกาสที่จะเกิดภาวะวิกฤติการเงินที่มีความรุนแรงสูง ทั้งจากการบรรจุและเพิ่มเงินเดือนพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) การปรับเพิ่มค่ายาและค่าบริหาร และจะส่งผลกระทบต่อเงินบำรุงโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีเงินบำรุงอยู่ในภาวะติดลบ นพ.ทรงยศ กล่าวว่า เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมมาตรการรับมือ โดยปรับเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการ แต่สุดท้ายหากตัวเลขงบประมาณยังคงติดลบ รัฐบาลคงต้องมาช่วย โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขคงต้องของบมาช่วยหน่วยบริการเหล่านี้  

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่เกิดขึ้น นอกจากการปรับเงินเฟ้อ ค่าตอบแทน และเงินเดือนแล้ว ทางกระทรวงสาธารณสุขยังขอให้ สปสช.ปรับลดการตัดเงินเดือนจากร้อยละ 32.3 ในปี 2557 ลงมาอยู่ที่ 29.4 ในปี 2558 สะท้อนให้เห็นถึงปัญหางบประมาณในระบบรักษาพยาบาล นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เหมือนกับสึนามิที่กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องนี้รัฐต้องเข้าใจว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สธ.ได้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการอย่างต่อเนื่อง โดยลดค่ายาและเวชภัณฑ์จากร้อยละ 32.2 ของค่าใช้จ่าย ลงมาอยู่ร้อยละ 29.4 ในปัจจุบัน เป็นความพยายามปรับตัวเพื่อให้ระบบอยู่ได้ แต่ก็เป็นความตึงตัวของงบประมาณเช่นกัน ดังนั้นจำเป็นที่ สธ. และ สปสช. ซึ่งอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ต้องผนึกการทำงานเพื่อให้ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปได้ และที่สำคัญต้องดูว่ามีแหล่งรายได้อื่นหรือไม่ที่จะนำมาสนับสนุนตรงนี้.

ศ.นพ.รัชตะ รมว.สธ.สรุปในตอนท้ายว่า ปัญหางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวปี 2558 ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดปัญหางบไม่เพียงพอนั้น เบื้องต้นคงต้องหารือในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านการลดค่าใช้จ่าย การรวมจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพื่อลดราคายา แต่ยังคงคุณภาพและมาตรฐานการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันต้องมุ่งลดการเจ็บป่วยของประชาชนโดยเดินหน้างานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลลงได้

ส่วนจะมีการขอเพิ่มงบกลางปีเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือไม่นั้น คงต้องขอเวลาช่วง 1-2 ไตรมาสแรกก่อนเพื่อดูตัวเลขงบประมาณ หลังปรับเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารก่อน และหากยังไม่เพียงพอ คงต้องเสนอของบกลางปีเพิ่ม รมว.สธ.กล่าว


ที่มา สำนักข่าว Hfocus

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net