Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

ภาพกลุ่มคนงานประท้วงสภาฯ เมื่อ 3 เม.ย.56 หลังปัดตก พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับแรงงาน (แฟ้มภาพ)

นับตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2557 ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติวาระ1 รับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....จำนวน 18  คน ได้แก่

(1)       พลเอกสิงห์ศึก สิงห์ไพร และทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2)       ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษธำรง ทัศนาญชลี

(3)       พลเอกมารุต ปัชโชตะสิงห์

(4)       นายสุรเดช วลีอิทธิกุล

(5)       นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์

(6)       นายชูศักดิ์ จันทยานนท์

(7)       นายมนัส โกศล

(8)       พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ

(9)       นายเจตน์ ศิรธรานนท์

(10)     นายสุพันธุ์ มงคลสุธี

(11)     นายอิสระ ว่องกุศลกิจ

(12)     นายโกวิท สัจจวิเศษ

(13)     นายประเวศ อรรถศุภผล

(14)     นายศุภชีพ ดิษเทศ

(15)     นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล

(16)     นางสาวสุรีรัตน์ ตรีมรรคา

(17)     นายอนุชา รัตนสินธุ์

(18)     นางสาวอรุณี ศรีโต

โดยคณะกรรมาธิการฯมีการประชุมมาแล้วรวม 8 ครั้ง คือ วันที่ 7, 10, 17, 24 พฤศจิกายน วันที่ 1, 8, 15, 22 ธันวาคม พ.ศ.2557 และจะมีการประชุมครั้งที่ 9 ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2558

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ที่แตกต่างจาก พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 จากการทบทวนร่างกฎหมายฉบับที่ สนช. รับหลักการวาระ 1 พบว่ามี 23 ข้อ ดังนี้

(1)   มีการขยายความคุ้มครองไปถึงลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการ รวมถึงครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน (กฎหมายเดิมได้ยกเว้นคนกลุ่มนี้ไว้)

(2)   แก้ไขคำว่า “ลูกจ้าง” ให้มีความหมายถึง ผู้ซึ่งทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง (กฎหมายเดิมได้ยกเว้นลูกจ้างที่ทำงานบ้านอันมิได้ประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย)

(3)   แก้ไขคำว่า “ทุพพลภาพ” ให้หมายถึง การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกาย หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจ จนทำให้ความสามารถในการทำงานลดลงถึงขนาดไม่อาจประกอบการงานตามปกติได้ (กฎหมายเดิมระบุเพียงว่าต้องไม่สามารถทำงานได้เพียงเท่านั้น)

(4)   แก้ไขคำว่า “ว่างงาน” ให้จำกัดเฉพาะกรณีการถูกเลิกจ้างเท่านั้น (กฎหมายเดิมรวมทุกกรณีที่สัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลง)

(5)   เพิ่มเติมคำว่า “ภัยพิบัติ” ให้มีขอบเขตที่ชัดเจนขึ้น โดยหมายถึงทั้งภัยธรรมชาติและมีผู้ทำให้เกิดขึ้น เพื่อกำหนดขอบเขตการได้รับลดหย่อนการออกเงินสมทบ (กฎหมายเดิมไม่มี)

(6)   แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการประกันสังคม ให้ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนสำนักงบประมาณเป็นกรรมการ กับผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนฝ่ายละ 6 คน ที่มาจากการเลือกตั้งตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด และให้เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมเป็นกรรมการและเลขานุการ  ทั้งนี้กรรมการต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สิน (กฎหมายเดิมกำหนดผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนฝ่ายละ 5 คน และไม่ได้ระบุเรื่องที่มาจากการเลือกตั้งไว้ รวมทั้งกรรมการไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน)

(7)   กำหนดให้คณะกรรมการประกันสังคมมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงวุฒิเป็นที่ปรึกษาไม่เกิน 7 คน โดยการสรรหาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี ในด้านการเงินการคลัง ด้านระบบงานประกันสังคม ด้านการบริหารการลงทุน ด้านบริหารจัดการ ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมายและด้านเศรษฐศาสตร์ (กฎหมายเดิมกำหนดผู้ทรงวุฒิจำนวนไม่เกิน 5 คน และมาจากด้านประกันสังคม แรงงาน การแพทย์ กฎหมาย และอื่นๆ)

(8)   แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการการแพทย์ ให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ และกรรมการอื่นมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 16 คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงวุฒิในวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ หรือในด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขหรือด้านการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาล โดยให้ผู้แทนสำนักงานประกัน สังคมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี (กฎหมายเดิมกำหนดเพียงรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงวุฒิในวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆเท่านั้น)

(1)   กำหนดให้สำนักงานประกันสังคมสามารถดำเนินการกับทรัพย์สินที่ได้มาจากการจัดหาผลประโยชน์ เพื่อประโยชน์ของกองทุนได้ (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(2)   ขยายความคุ้มครองให้แรงงานนอกระบบกลุ่มต่างๆสามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้มากยิ่งขึ้น และเพิ่มเติมเรื่องการจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 แต่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของเงินสมทบที่ได้รับจากผู้ประกันตน (กฎหมายเดิมกำหนดไว้แค่เฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกจ้างตามมาตรา 33 เท่านั้นที่จะสมัครเข้ามาตรา 40 ได้ และไม่มีการกำหนดอัตราเงินสมทบของรัฐบาลว่าจะต้องสมทบจำนวนเท่าใด)

(3)   รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีสามารถออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนได้ ในกรณีท้องที่หนึ่งท้องที่ใดประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(4)   กำหนดการคำนวณเงินเพิ่มที่นายจ้างค้างชำระเงินสมทบทั้งในส่วนของตนเองและส่วนของลูกจ้าง โดยกำหนดให้เงินเพิ่มที่คำนวณได้ต้องไม่เกินจำนวนเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องจำนวนเงินสมทบสุทธิที่นายจ้างต้องจ่าย)

(5)   ขยายความคุ้มครองให้ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุน ไม่เป็นการตัดสิทธิจากกฎหมายอื่นๆที่ต้องได้รับอยู่แล้วด้วย และสิทธิการได้รับประโยชน์ทดแทนไม่อาจโอนกันได้และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เพื่อให้หลักประกันที่มั่นคงแก่ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิ (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(6)   ขยายระยะเวลาในการยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนเป็น 2 ปี (กฎหมายเดิมกำหนดไว้เพียง 1 ปี)

(7)   แก้ไขอัตราจำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ สำหรับการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 (กฎหมายเดิมเป็นการนำค่าจ้างสูงสุด 3 เดือนภายในระยะเวลา 9 เดือน มาคำนวณ แต่กฎหมายใหม่แก้ไขจาก 9 เดือน เป็น 15 เดือน)

(8)   ขยายความคุ้มครองให้ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสหรือบุตรของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งจงใจทำให้ตนเองหรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำให้ตนเองประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือทุพพลภาพ หรือตาย มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคมและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กฎหมายเดิมได้ยกเว้นเรื่องนี้ไว้)

(9)   ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้ครอบคลุมถึงค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคด้วย (กฎหมายเดิมไม่มีเรื่องค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค)

(10)ในกรณีที่ผู้ประกันตนทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน และการทุพพลภาพนั้นมีระดับความสูญเสียรุนแรงตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างตลอดชีวิต (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(11)กำหนดประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรจำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน ทั้งนี้บุตรดังกล่าวต้องไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น (กฎหมายเดิมระบุว่าต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น กฎหมายใหม่ตัดประโยค “ชอบด้วยกฎหมาย” ออกไป)

(12)กำหนดให้ผู้ประกันตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยสามารถเลือกใช้สิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพได้ เมื่อไม่ประสงค์จะพำนักอยู่ในประเทศไทย (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(13)ผู้ประกันตนที่ไม่มีทายาทและเสียชีวิตลงก่อนที่ตนเองจะได้รับประโยชน์ทดแทนชราภาพ สามารถทำหนังสือระบุบุคคลผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพไว้ล่วงหน้าได้ (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(14)ในกรณีที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย หรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้)

(15)ขยายความคุ้มครองให้ผู้ประกันตนซึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและเสียชีวิต มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีเสียชีวิต (กฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้ ระบุเพียงเรื่องทุพพลภาพเท่านั้น)

ทั้งนี้ภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณามาแล้วรวม 8 ครั้ง พบว่า มีข้อเสนอที่แตกต่างจากฉบับที่รับหลักการในวาระ 1 รวม 13 ประเด็น ดังนี้

(1)   มีการเพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้นมาอีก 1 กลุ่ม (นอกเหนือจาก 2 กลุ่มเดิมในข้างต้น) คือ กลุ่มลูกจ้างของนายจ้างที่มีสำนักงานในประเทศและต้องไปประจำทำงานในต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกจ้างคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศสามารถเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้ เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายไทยลูกจ้างจะได้รับมากกว่ากองทุนประกันจากต่างประเทศ (กฎหมายฉบับ 2533 ได้ยกเว้นคนกลุ่มนี้ไว้)

(2)   แก้ไขนิยามคำว่า “ว่างงาน” โดยแก้ไขใหม่เป็นว่า เพราะเหตุลูกจ้างถูกเลิกจ้างหรือเหตุอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

(3)   องค์ประกอบของคณะกรรมการประกันสังคม ให้เพิ่มเติมผู้แทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้ามาอีก 1 ตำแหน่งจากองค์ประกอบเดิมที่ระบุไว้แล้ว เพราะเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบในการส่งเสริมดูแลเด็ก สตรี ผู้สูงอายุและคนพิการ และสำหรับในส่วนผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน ให้เพิ่มเป็นฝ่ายละ 7 คน (เนื่องจากมีการเพิ่มตัวแทนจากภาครัฐเป็น 7 คน ทำให้ต้องเพิ่มตัวแทนจากฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนเข้าไปด้วย) อีกทั้งผู้แทนทั้ง 2 กลุ่มนี้ที่มาจากการเลือกตั้งให้คำนึงถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการประกันสังคมอย่างแท้จริงร่วมด้วย

การสรรหาผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการประกันสังคม แม้ว่าในร่างกฎหมายฉบับรับหลักการจะกำหนดไว้ว่าหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ทรงวุฒิให้เป็นไปตามที่ระเบียบรัฐมนตรีกำหนด ทั้งนี้มีการแก้ไขโดยให้เพิ่มเติมคำว่า "โดยคำแนะนำของคณะกรรมการ" เข้าไปเพิ่มเติม  เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการคัดเลือกเป็นสำคัญ รวมทั้งกรรมการและที่ปรึกษาต้องมีอายุไม่เกินเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต , ไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการหรือที่ปรึกษา หรือ(1)   เจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไม่น้อยกว่า 3 ปี (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

(2)   คณะกรรมการการแพทย์ให้แต่งตั้งผ่านวิธีการสรรหา เพื่อไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองและให้เพิ่มผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนฝ่ายละ 1 คน เข้าร่วมเป็นกรรมการการแพทย์ด้วย เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นมิติทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตนในรายละเอียดเชิงลึกแก่คณะกรรมการการแพทย์ (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

(3)   จำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของแต่ละฝ่าย ให้เพิ่มเติมเรื่องการคำนึงถึงภาระของผู้ประกันตนในการออกเงินสมทบประกอบร่วมด้วย (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

(4)   การจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 แก้ไขใหม่เป็น “ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของเงินสมทบที่ได้รับจากผู้ประกันตน”

(5)   ในเรื่องสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 ประการที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับ อนึ่งในประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค สำหรับในกลุ่มคนพิการนั้นให้ได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

(6)   ประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ในส่วนค่าบำบัดทางการแพทย์ ให้เพิ่มค่าฟื้นฟูสมรรถภาพเข้ามาอีกสิทธิประโยชน์ด้วย รวมทั้งให้เพิ่มเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นเงินเพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตน ในกรณีที่ผู้ประกันตนได้รับความเสียหายจากการบริการรับบริการทางการแพทย์ เพื่อไม่ต้องรอการพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้ถูกหรือผิด (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

(7)   สิทธิประโยชน์ในกรณีคลอดบุตร กฎหมายฉบับ พ.ศ. 2533 ระบุไว้ว่าผู้ประกันตนต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ขอแก้ไขใหม่เป็น จ่ายเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 5 เดือน รวมทั้งให้ตัดประโยชน์ทดแทนที่กำหนดไว้ว่าคลอดบุตรได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้นออก (เนื่องจากประชากรของประเทศลดลงอย่างมาก และขาดแคลนวัยแรงงาน จึงไม่ควรกำหนดจำนวนบุตรไว้)

(8)   ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร จำนวนคราละไม่เกิน 2 คน ขอแก้ไขใหม่เป็น 3 คน (เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกันตนมีบุตรเพิ่มขึ้น)

(9)   ตัดถ้อยคำที่ว่า “กรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยสามารถเลือกใช้สิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพได้ เมื่อไม่ประสงค์จะพำนักอยู่ในประเทศไทย” ออกไป โดยเห็นว่ามีความแตกต่างและไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนซึ่งมีสัญชาติไทยที่ไม่สามารถขอรับได้ ซึ่งจะขอรับได้เมื่ออายุ 55 ปี

(10)กำหนดให้ผู้ประกันตนที่ไม่มีทายาทและเสียชีวิตลงก่อนที่ตนเองจะได้รับประโยชน์ทดแทนชราภาพ สามารถทำหนังสือระบุบุคคลผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพไว้ล่วงหน้าได้ ให้มีสถานะเป็น “ทายาท” เหมือนกับทายาทผู้มีสิทธิ ซึ่งได้แก่ บุตร สามีหรือภรรยา บิดาและมารดา (กฎหมายฉบับ 2533 ไม่ได้ระบุไว้)

อย่างไรก็ตามทั้ง 13 ประเด็นนี้ เป็นเพียงข้อเสนอเบื้องต้นของคณะกรรมาธิการฯเท่านั้น ซึ่งยังไม่เป็นที่ยุติ และจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวาระ 2 และ 3 เพื่อพิจารณาปรับแก้ไขต่อไป

แต่ทั้งนี้แล้วจากประเด็นที่เพิ่มเติมมาทั้ง 23 ข้อในฉบับรับหลักการวาระ 1 ของ สนช. กับฉบับแก้ไขในชั้นคณะกรรมาธิการรวม 13 ข้อนั้น จะเห็นได้ว่าประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกันตนมีเพียงการขยายความคุ้มครองกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ, คนทำงานบ้านที่มิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย , กลุ่มลูกจ้างที่ไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงในกลุ่มแรงงานนอกระบบกลุ่มต่างๆที่นอกเหนือจากที่กฎหมายประกันสังคมได้ระบุไว้ กับการเพิ่มสิทธิประโยชน์และลดหรือยกเลิกเงื่อนไขที่เป็นการจำกัดสิทธิแก่ผู้ประกันหรือผู้มีสิทธิเท่านั้น นอกนั้นแล้วก็เป็นเพียงการปรับปรุงองค์ประกอบและที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการประกันสังคม ที่ปรึกษา และกรรมการการแพทย์ และกำหนดบทบัญญัติในการลดหย่อนเงินสมทบในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ  เพื่อลดรายจ่ายให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตน

ดังนั้นการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับ สนช. จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ประกันตน” เพราะแท้จริงแล้วปัญหาสำคัญของกองทุนประกันสังคม คือ การบริหารจัดการโดยภาคราชการที่ยังขาดการมีส่วนร่วมจากผู้ประกันตนที่เป็นเจ้าของเงินตัวจริง ไม่มีการกระจายอำนาจตามหลักธรรมาภิบาล การบริหารจัดการที่ยังขาดความเป็นมืออาชีพ รวมถึงไม่มีคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อเป็นหลักประกันการบริหารงานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ไม่มีคณะกรรมการการลงทุนที่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ นี้ยังไม่ต้องพูดถึงความเป็นอิสระของสำนักงานประกันสังคมที่จะไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ที่พร้อมจะเข้ามา “ล้วงลูกและครอบงำการบริหารงานผ่านประธานคณะกรรมการประกันสังคมได้อยู่ตลอดเวลา” ซึ่งประเด็นต่างๆที่เป็น “หัวใจสำคัญ” นี้ กลับไม่ถูกหยิกยกมากล่าวถึงและได้รับความสำคัญในการพิจารณายุค สนช. แม้แต่น้อย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net