องค์กรอิสระเพื่อผู้บริโภคภาค ปชช.จี้ ครม.ทบทวน กม.เศรษฐกิจดิจิทัล

องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน แถลงข่าวค้านชุด กม.เศรษฐกิจดิจิทัล จี้ ครม.ทบทวน ชี้ละเมิดสิทธิผู้บริโภค เสนอให้รับฟังความเห็นประชาชน

27 ม.ค.2558 คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จัดแถลงข่าววิเคราะห์ร่างชุดกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล ขึ้นที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณากฎหมายอย่างรอบคอบ และให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงเสนอให้มีมาตรการเยียวยาความเสียหาย

จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ รองประธานคณะกรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 35 วรรค 3  ขาดมิติในการคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่มากเกินไปในการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภค และเห็นว่าในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความผิด ควรต้องมีการกำหนดกระบวนการอย่างน้อย 2 ชั้นในการเข้าถึงข้อมูล โดยต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดร่างกฎหมายดังกล่าวจึงถูกนำมาใส่ไว้กฎหมายเศรษฐกิจดิจิตอล แทนที่จะใส่ไว้ในกฎหมายอาญาเกี่ยวกับเรื่องความผิดคอมพิวเตอร์

ชลลดา บุญเกษม กรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวว่า ชุดร่างกฎหมายเศรษฐกิจ ดิจิทัลมีเนื้อหามุ่งลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการ และยังมีการอธิบายความผิดไว้แบบกว้างและไม่ชัดเจน โดยระบุว่าให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ ได้ยกตัวอย่างกรณีหากเป็นเพื่อนกับผู้ที่ทำความผิด ซึ่งกฎหมายระบุให้สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดได้ จะข้อมูลส่วนตัวของบุคคลถูกละเมิดแล้วโดยที่ผู้ที่ถูกละเมิดไม่รู้ตัว

ทางด้านรุจน์ โกมลบุตร หนึ่งในกรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวว่า กฎหมายชุดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าข้อมูลสามารถถูกตรวจสอบได้อย่างง่ายดายจากเจ้าหน้าที่รัฐฯ ก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่มั่นใจในการมาลงทุน เพราะมีความกังวลในความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด และกล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้คณะรัฐมนตรีทบทวนร่างกฎหมายทั้งหมดนี้  และต้องอธิบายให้ชัดเจนในกรณีที่มีการลิดรอนของสิทธิผู้บริโภค นอกจากนี้ควรให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกเสียง เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบคือภาคประชาชน

ด้านบุญยืน ศิริธรรม กรรมการองค์การอิสระฯ มองว่า การร่างกฎหมายดิจิทัลฉบับนี้ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ แต่เป็นการดึงอำนาจไว้ที่รัฐมากกว่า นอกจากนี้ถ้าเกิดกรณีมีนักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อมูลของรัฐ ก็อาจเกิดการล้วงข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งกฎหมายนี้เหมือนเป็นการถอยหลังเข้าคลอง บุญยืนกล่าวว่า รัฐควรหาทางให้ กสทช. มีอำนาจในกำกับควบคุมเทคโนโลยี ไม่ใช่ดึงอำนาจไว้ที่รัฐอย่างเดียว

โดยทั้งนี้ องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ได้จัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยระบุว่ากฎหมายดิจิทัลทั้งสิบฉบับเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค ไม่แก้ปัญหาผู้บริโภคที่เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน และขาดมิติการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยข้อเสนอดังกล่าวได้ระบุเหตุผล ดังนี้

1. เนื่องจากกฎหมายดิจิทัลดังกล่าวมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ของผู้บริโภคทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งการนำข้อมูลของผู้บริโภคไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้น ในกระบวนการออกกฎหมายดังกล่าว ขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

2. คณะกรรมการองค์การอิสระฯ เห็นว่า การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เข้มแข็ง ต้องให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในฐานะผู้ที่ใช้บริการดิจิทัลต่างๆ ไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ให้บริการดิจิทัลด้วย ซึ่งในกฎหมายหลายฉบับไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

3. ร่างกฎหมายทั้งหมดขาดกลไกคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคที่ชัดเจน อีกทั้งสัดส่วนของคณะกรรมการชุดต่างๆ ก็ไม่มีการรับประกันสัดส่วนจากผู้แทนด้านที่เกี่ยวข้อง คือคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่มีการตัดกรรมการด้านสิทธิและผู้บริโภคออกไป 3 ตำแหน่ง และเพิ่มกรรมการด้านความมั่นคงเข้ามา 2 ตำแหน่ง ดังนั้น เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค จึงขอเสนอให้มีการเพิ่มตัวแทนของผู้บริโภคเป็นคณะกรรมการในร่างกฎหมายทุกฉบับด้วย

4. ในกฎหมายหลายฉบับมีการให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไป เช่น ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ใน มาตรา 35 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสาร โดยไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคในฐานะผู้เป็นเจ้าของข้อมูลอาจถูกละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว  ถูกดังฟัง ถูกดึงข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ โดยไม่มีการคุ้มครองหลักประกันความปลอดภัยใดๆ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ ดังนั้น คณะกรรมการจึง ขอเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 35 ในกฎหมายดังกล่าวด้วย และให้มีตัวแทนของผู้บริโภคเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ

5. ในร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีเพียงการกำกับดูแล “ผู้ควบคุมข้อมูล” มิให้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล (อาทิ ประวัติการศึกษา สถานะทางการเงิน ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ) หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้หรือเปิดเผย โดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นการช่วยคุ้มครองผู้บริโภคส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงบรรดาผู้ที่ส่งข้อความโฆษณารบกวน หรือ  “SPAM” มาทาง SMS อีเมล หรือแม้กระทั่งสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook  ซึ่งสร้างความรำคาญและเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค ดังนั้น คณะกรรมการจึงเสนอว่าควรมีการเพิ่มเติมเนื้อหาสาระของกฎหมายให้ครอบคลุม คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในเรื่องดังกล่าว ดังนี้

5.1 การส่งข้อความโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสารใดๆ ที่ผู้บริโภคมิได้ร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการส่ง โทรสาร, e-mail, SMS , MMS ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่างๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้บริโภคอย่างชัดแจ้ง
5.2 กำหนดให้ผู้ส่งข้อความโฆษณา ประชาสัมพันธ์จะต้องแจ้งชื่อ ที่อยู่ ที่ติดต่อ ให้ชัดเจน และการแจ้งชื่อหรือที่อยู่ปลอมถือเป็นความผิด
5.3 กำหนดให้ผู้ส่งข้อความต้องแจ้งให้ผู้รับทราบอย่างชัดเจนว่า ข้อความที่ได้รับนั้นเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์
5.4 กำหนดให้ผู้ส่งข้อความต้องระบุวิธีการยกเลิก การบอกรับข้อความ ข้อมูล ข่าวสารเมื่อไม่ต้องการ ซึ่งต้องเป็นวิธีการที่ผู้บริโภคสามารถดำเนินการได้โดยสะดวก รวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่าย
5.5 จำกัดจำนวนสูงสุดในการส่งข้อความ เช่น ไม่เกิน 2,500 ฉบับภายใน 24 ชั่วโมง
5.6 กำหนดโทษทางอาญาที่รุนแรง เช่น หากมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เช่นเดียวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องรับโทษตามมาตรา 44 วรรคสอง)

6. ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่มีการแก้ไขเรื่องอำนาจหน้าที่ของ กสทช. เห็นว่า กสทช.ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับกิจการควรคงความเป็นอิสระ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของ กสทช.ไม่ควรเป็นการเอากลับเข้ามาอยู่ในกำกับของรัฐ แต่ควรแก้ไขด้วยการเพิ่มกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค กลไกการตรวจสอบ การประเมินประสิทธิภาพการทำงานของคณะกรรมการ กสทช.ทุกชุด รวมไปทั้งการแก้ไขการถอดถอนให้ทำได้ง่ายมากขึ้นหากพบว่าการทำงานไม่มี ประสิทธิภาพและมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดิจิทัลทั้ง 10 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการภายใต้แนวคิดการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย  ประกอบไปด้วย

1) ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
3) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
4) ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
5) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
6) ร่าง พ.ร.บ.กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
7) ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
8) ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
9) ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ
10) ร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม เพื่อกำหนดให้มีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท