Skip to main content
sharethis

เผย 10 ปีตลาดแรงงานไทยอนาคตสดใส จ้างงานเพิ่มต่อเนื่อง เกือบ 2 ล้านคนผันตัวสู่ผู้ประกอบการ ภาคบริการจ้างงานสูงเฉลี่ย 2.6% ต่อปี แนะปรับสมดุลโครงสร้างเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพิ่มความแข็งแกร่งตลาดแรงงาน-โอกาสในอาเซียน

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงสัดส่วนการเติบโตในช่วง 10 ปี ระหว่างปี 2547-2557 ที่ผ่านมาของตลาดแรงงงานไทยในภาพรวมว่า โครงสร้างแรงงานของไทยมีอัตราการว่างงานค่อนข้างต่ำ เนื่องจากมีจำนวนการจ้างงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะผันผวนบ้าง ซึ่งเป็นไปในทิศทางบวก เห็นได้จากสัดส่วนจำนวนแรงงานไทยในระบบ 38.42 ล้านคน พบว่า ในกลุ่มลูกจ้างเอกชนซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดแรงงานมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน รวมเป็น 14.12 ล้านคน รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจส่วนตัวที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนรวมเป็น 12.39 ล้านคน และกลุ่มที่มีความผันผวนคือกลุ่มช่วยธุรกิจครอบครัวซึ่งพบว่ามีจำนวนลดลงราว 5 หมื่นคนมาอยู่ที่ 7.33 ล้านคน จากการผันตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการ/ธุรกิจส่วนตัว ส่วนลูกจ้างภาครัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านคนเป็น 3.05 ล้านคน  ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 3 เกี่ยวกับอัตราเติบโตเฉลี่ยของแรงงาน ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ โดยพบว่า ภาคการเกษตรมีลูกจ้างลดลงจำนวนมากที่สุดถึง 4.5% อันเนื่องมาจากแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคเกษตรน้อยลง จากทัศนคติที่เห็นว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นงานที่หนัก ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ด้วยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้แรงงานเคลื่อนย้ายไปสู่การทำงานเป็นลูกจ้างของสถานประกอบการ ซึ่งมีเงินเดือนเป็นรายได้ประจำที่แน่นอนมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมพบว่าเติบโตที่ 1.3% โดยหลายสาขายังเติบโตไปในทิศทางค่อนข้างบวก ยกเว้นอุตสาหกรรมสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและเครื่องหนัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้แรงงานระดับล่างมากถึง 40% หรือประมาณ 100,000 คนต่อปี ส่งผลให้เกิดแรงงานตึงตัว เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ดังนั้น การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการควรนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ขณะที่ในภาคบริการซึ่งในภาพรวมพบว่า การเติบโตของการจ้างงานเป็นไปค่อนข้างสูงที่สุด เฉลี่ย 2.6 % ต่อปี และคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ดร.ยงยุทธ ยังกล่าวอีกว่า จากสถิติดังกล่าวหากมองให้ลึกถึงปัญหาการว่างงานที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยถือว่ามีอัตราการว่างงานน้อยลง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนของการจ้างงานในตลาดแรงงาน กลับเป็นสัดส่วนตรงกันข้ามกับผู้จบการศึกษาที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน เนื่องจากมีการผลิตบุคลากรของสถานศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการในสาขาที่ขาดแคลน ส่งผลให้เกิดปัญหาแรงงานตึงตัวตามมา รวมทั้งสถานศึกษายังมีการเรียนการสอนรายวิชาที่ไม่ตอบสนองต่อบริบทชุมชน ทำให้กลุ่มแรงงานซึ่งเป็นนักศึกษาจบใหม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเข้าไปหาแหล่งจ้างงานใหญ่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ทำให้เกิดความไม่สมดุลกันทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

ทั้งนี้ ดร.ยงยุทธ ได้เสนอแนะถึงมาตรการการลดจำนวนแรงงานที่ล้นตลาดและขาดแคลนในบางสาขาว่า ต้องส่งเสริมให้เยาวชนหันมาสนใจเรียนสายอาชีพมากขึ้น ขณะเดียวกันสถาบันควรกำหนดทิศทางองค์ความรู้ในการเปิดสอนวิชาเรียนที่ตอบโจทย์บริบทชุมชน และปรับทัศนคติของผู้เรียนเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างหนักไปยังจุดใดจุดหนึ่ง รวมทั้งในส่วนของตัวแรงงานเองที่กำลังเข้าสู่ระบบการทำงานควรเรียนรู้ทักษะในด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น จึงต้องการแรงงานที่มีทักษะฝีมือและความรู้เชิงเทคนิค และความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะเป็นจุดแข็งที่เปิดโอกาสให้แรงงานสามารถแข่งขันเป็นที่ต้องการของตลาดที่หลากหลายและมากขึ้น โดยเฉพาะโอกาสของแรงงานไทยในเวทีอาเซียน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net