‘อีสานใหม่’ จัดเวทีกลางกรุง เสนอเสียงที่รัฐและชนชั้นกลางไม่ได้ยิน หลังการรัฐประหาร

อีสานใหม่จัดเวทีข้อเสนอต่อรัฐบาล หลัง 10 เดือนรัฐประหาร และกฏอัยการศึก เข้ารุกทำลายสิทธิชุมชนภาคอีสาน วิทยากรเห็นร่วม รัฐบาลต้องยกเลิกกฏอัยการศึกโดยทันที

ภาพจากนักข่าวพลเมือง

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2558 ณ ห้องบรรยายโครงการปริญญาเอก คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการจัดเวทีข้อเสนอทางวิชาการ ในหัวข้อ" 'อีสานกลางกรุง' ลมหายใจผู้คนท่ามกลางการพัฒนา"  โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล สามชาย ศรีสันต์ สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อลงกรณ์ อรรคแสง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และสุรชัย ตรงงาม มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ดำเนินรายการโดย วัชรฤทัย บุญธินันท์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยวิทยากรได้ร่วมกันวิเคราะห์และนำเสนอทางออกต่อสถานการณ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ต้องเผชิญ ภายใต้กฎอัยการศึก หลังจากตัวแทนชาวบ้านจาก 8 พื้นที่ในภาคอีสานได้นำเสนอในช่วงเช้า (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ผู้ดำเนินรายการเริ่มด้วยการตั้งประเด็นว่า "หลังรัฐประหาร สิ่งหนึ่งที่คนกรุงรับทราบคือมีการจัดระเบียบในเชิงพื้นที่ นายทุนที่บุกรุกป่าต้องออก แต่เราไม่ได้รับทราบว่า พี่น้องตัวเล็กตัวน้อยในพื้นที่ก็ถูกคุกคาม และได้รับผลกระทบ ความจริงปัญหาระหว่างภาครัฐกับชาวบ้านเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่การรัฐประหารทำให้การต่อรองในพื้นที่ยากมากขึ้น”  พร้อมทั้งโยนคำถามให้ผู้ร่วมเสวนาว่า สถานการณ์ในช่วง 1 หรือ 10 ปีที่ผ่านมา สามารถมองได้ในมุมมองไหนบ้าง และเราจะเคลื่อนออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร

ชมคลิปเวทีเสวนาฉบับเต็ม

อลงกรณ์ อรรคแสง : การที่พวกคุณสนับสนุนรัฐบาลทหาร ผลที่ตามมามันกดทับพวกเรา

ในฐานะนักวิชาการผู้คลุกคลีปัญหาชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน อลงกรณ์ อรรคแสง เริ่มต้นด้วยการฉายภาพให้เห็นสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่อีสาน เขาเสนอว่า ในเรื่องปัญหาที่ดินและป่าไม้ มีหลักๆ 2 ประเด็น คือ 1.ชาวบ้านอยู่มาก่อนแล้วประกาศพื้นที่ป่าไม้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเป็นผู้บุกรุก และ 2.ประกาศเขตป่าแล้วชาวบ้านบุกรุกใหม่ ซึ่งมีรากฐานมาจากการถือครองที่ดินไม่เป็นธรรม เราจะพบว่ามีบางคนถือครองที่ดินมากกว่าคนอื่นอย่างมหาศาล ขณะที่รัฐก็พยายามจะแก้ปัญหา แต่เป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด

เรื่องการขุดเจาะก๊าซ ก็เป็นปัญหาเรื่องผลพวงของการพัฒนา ที่รัฐมีวาทกรรมเรื่องส่วนรวม เรื่องเพื่อชาติ แต่ไม่ได้ชี้ว่า ส่วนรวมหรือชาติคืออะไร ขณะที่ชุมชนที่ถูกดูดซับทรัพยากรก็ได้รับผลกระทบ

จากการลงพื้นที่ของอลงกรณ์เขาพบว่าอีสานมีทรัพยากรมากมาย และกำลังถูกกระทำโดยรัฐรวมหัวกับทุน "ผมคิดว่า ความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับราชการมีมานานแล้ว แต่การรัฐประหารทำให้ราชการถือโอกาสใช้ทหารมาแบ็คอัพและจัดการกับประชาชนในพื้นที่ ทหารถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับรัฐ โดยทหารไม่ได้มองเลยว่าความขัดแย้งนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เพราะวิธีคิดของทหารคือ ราชการมีความน่าเชื่อถือกว่าประชาชน พอราชการบอกว่าพวกนี้บุกรุกป่ามานานแล้ว ก็จัดการเอาประชาชนออกจากป่า โดยไม่ได้มองว่า ประชาชนที่รุกป่า มันมีอยู่ 2 กรณี อย่างที่ผมพูดไปแล้ว"  

"สอง ทหารเข้ามาเคลียร์ความขัดแย้งที่นายทุนมีต่อประชาชน กรณี นามูน-ดูนสาด นี่ชัดเจน กองกำลังเข้าไปตั้งแถวกันชาวบ้านให้รถบรรทุกขนอุปกรณ์เข้าไปในพื้นที่ หรือที่เหมืองทองคำเลย ใช้กำลังทหารเข้าไปเคลียร์เพื่อให้บริษัทขนแร่ สุดท้ายคนที่ซวยคือชาวบ้าน ไม่ใช่ประชาชน การประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ใช้กับชาวบ้านไม่ได้ใช้กับประชาชน"

เขาชี้ว่า คนที่มีสำนึกเรื่องสิทธิเสรีภาพ เขาจะรู้สึกว่าการประกาศกฎอัยการศึกทำให้เขาเดือดร้อน คนที่ไม่เดือดร้อนกับกฎอัยการศึก ก็เหมือน “หมาที่ถูกล่ามแต่วิ่งไม่สุดโซ่” (คำเปรียบเปรยของสื่อมวลชนท่านหนึ่ง) เพราะว่าเขาไม่ได้ใช้สิทธิเต็มที่ในการต่อสู้เรียกร้อง แต่ชาวบ้านเขาใช้สิทธิเต็มที่แล้ว จนต้องใช้เครื่องมือชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ก็คือ การชุมนุม แต่ภายใต้กฎอัยการศึกมันทำไม่ได้ ในความเห็นของเขา กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ใช้จัดการหรือกดทับคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล หรือชาวบ้าน “การที่พวกคุณสนับสนุนรัฐบาลทหาร ผลที่ตามมามันกดทับพวกเรา”

ในส่วนสาเหตุที่ชนชั้นกลางเรียกร้องรัฐประหาร อลงกรณ์เห็นว่า เป็นเพราะว่าชนชั้นกลางได้สูญเสียการชี้นำทิศทางในการพัฒนาประเทศ หลังรัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้เกิดระบบพรรคเดียวคุมประเทศ สามารถออกนโยบาย และใช้นโยบายผลักดันการพัฒนาประเทศได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เทคโนแครตไม่มีความหมาย สร้างความแค้นเคืองให้กับชนชั้นกลางและข้าราชการ “ประเด็นคือมันไม่ใช่เรื่องทักษิณคอร์รัปชั่น คนเหล่านี้หมั่นไส้ทักษิณ เพราะเขาสูญเสียความชอบธรรมในการชี้นำ” อลงกรณ์กล่าว

นอกจากนี้ อลงกรณ์ได้วิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาภายใต้กฎอัยการศึกหลังจากนี้คือ พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะจะถูกนำมาจัดการกับการชุมนุมเล็กๆ ของชาวบ้านเช่นนี้ ประเด็นต่อมา ชนชั้นกลางจะรักษาโครงสร้างที่ธำรงอยู่ ในแง่นี้รัฐประหารจึงไม่ได้แก้อะไรเลย

เขาเสนอว่า ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นมาจากการที่รัฐรวมศูนย์ การออกแบบเลือกตั้งจึงไม่ได้ไปแตะประเด็นปัญหาใจกลาง สิ่งที่ต้องทำคือ ปฏิรูปให้มีการกระจายอำนาจ กระจายอำนาจในที่นี้ไม่ใช่เพิ่มอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่กระจายการตัดสินใจไปให้กับประชาชน เช่น อำนาจในการตัดสินใจเจาะก๊าซของชุมชน ไม่ใช่ให้เป็นอำนาจของส่วนกลาง

การช่วยกันผลักดันให้เกิดกฎหมายเล็กๆ ใช้กับพื้นที่ เป็นอีกทางออกหนึ่งที่อลงกรณ์เสนอ “เป็นไปได้ไหมว่าแต่ละ อบต. จะตราข้อบัญญัติตำบลเรื่องการขุดเจาะก๊าซ ข้อบัญญัติเรื่องโฉนดชุมชน เรื่องเหมืองทอง สิ่งที่เราจะเล่นได้จากตรงนี้ คือเราสร้างเครื่องมือให้กับชาวบ้านเท่าที่สามารถทำได้ในตอนนี้” และสุดท้าย ทำอย่างไรจะเกิด พ.ร.บ.สิทธิชุมชน เนื่องจากเมื่อชาวบ้านอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ศาลมักจะถามว่า อยู่ในกฎหมายฉบับไหน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี

สามชาย ศรีสันต์ : เดิมพันการเคลื่อนไหวของชาวบ้านคือชีวิต

สามชาย ศรีสันต์ เริ่มต้นด้วยการเห็นแย้งกับอลงกรณ์ที่กล่าวว่า ทหารถูกราชการกับนายทุนใช้เป็นเครื่องมือ โดยเขาเห็นว่า ทหารผู้ใหญ่จับมือกับนายทุน แล้วใช้ทหารผู้น้อยซึ่งเป็นลูกหลานเราเป็นเครื่องมือมากกว่า

สามชายกล่าวว่า เขาจะพูดในฐานะนักวิชาการที่อยู่บนหอคอยงาช้างแล้วมองปรากฏการณ์การต่อสู้ในหลายพื้นที่ของอีสานว่าเป็นอย่างไร โดยจะนำเสนอใน 2 ประเด็น คือ หนึ่ง คนอีสาน/ภาคอีสานเกิดอะไรขึ้น สอง การต่อสู้เคลื่อนไหวปัจจุบันของชาวบ้านอีสานแตกต่างอย่างไรกับการต่อสู้เคลื่อนไหวของชนชั้นกลาง

ประเด็นแรก เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิชาการจำนวนหนึ่งว่า คนอีสานเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เป็นผู้ตื่นรู้ทางการเมือง รู้จักใช้นักการเมือง รู้จักใช้สิทธิเสรีภาพของตนเอง มานานแล้วด้วย สังเกตได้จากการที่นักการเมืองหัวก้าวหน้าจากอีสานมักจะขัดแย้งกับนักการเมืองส่วนกลางหรืออำนาจหลักในสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการเมืองผูกพันกับคนอีสานมานาน แต่เป็นการเมืองคนละแบบกับคนชั้นกลางในกรุงเทพ อย่างไรก็ตาม ภาพที่ถูกสื่อออกมาในสังคมไทย กลับเป็นภาพลักษณ์ “คนอีสานต้องเป็นคนรับใช้ ไม่ประสีประสาทางการเมือง ถูกหลอกได้ง่าย”

ประเด็นต่อมา รัฐไทยมีกระบวนการนับรวมอีสานเพื่อที่จะไม่นับรวม ในสมัยก่อน เรารวมอีสานเพื่อป้องกันภัยจากคอมมิวนิสต์ ต่อมา แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 ระบุว่าจะมีการสร้างเขื่อน มีการสร้างเขื่อนในอีสานมากมาย เพื่อเพิ่มพลังการผลิตไฟฟ้าให้คนกรุง ดังนั้น อีสานจึงเป็นพื้นที่นับรวมเพื่อเอาทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ในส่วนกลางเรื่อยมา

“นอกจากนั้นแล้ว ผมคิดว่าวัฒนธรรมอีสานเป็นวัฒนธรรมที่เย้ายวน เช่น คนกรุงเทพฯชื่นชมคนอีสาน อดทน ซื่อสัตย์ ขณะเดียวกัน แต่มันก็กระอักกระอ่วนต้องวัฒนธรรมอีสาน เมื่อคนอีสานแสดงบทบาททางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเป็นฐานคะแนนเสียงสำคัญของพรรคไทยรักไทย หรือเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของชนชั้นนำในกรุงเทพ ซึ่งไม่ต้องการเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้คนหน้าใหม่เช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่หลังรัฐประหาร พื้นที่ชนบทอีสานถูกจัดการเป็นเรื่องแรกๆ”

สามชายเปรียบการเคลื่อนไหวของชาวบ้านกับการเคลื่อนไหวของชนชั้นกลางว่า ชนชั้นกลางสนใจการเคลื่อนไหวในประเด็นอะไรที่ถือเป็นความดีหรือความงาม โดยการเคลื่อนไหวนั้นไม่ต้องลงแรง สามารถถ่ายรูป เร็ว หวังผลได้เร็ว การเป็นคนดีเร็วๆ และการเคลื่อนไหวนั้นต้องดูเหนือกว่า มีความรู้กว่า เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสิทธิสัตว์ ดังนั้นเรื่องที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่ปัจจุบันนี้จึงไม่สำคัญสำหรับชนชั้นกลาง ประเด็นที่สอง ตรรกะของชนชั้นกลาง เป็นตรรกะที่อิงอำนาจหลัก (คนดี)  ในแง่นี้คนดี จึงหมายถึงสิ่งที่ดีจะเกิดจากคนดีบอก คนดีบอกอะไรดีอะไรไม่ดีได้ ซึ่งแตกต่างกับตรรกะการเคลื่อนไหวของคนอีสาน

สามชายวิเคราะห์ลักษณะของการเคลื่อนไหวของคนอีสาน คือ 1.เดิมพันของการเคลื่อนไหวชาวบ้านคือชีวิต 2.เจตจำนงของชาวบ้านคือมีอิสระที่จะเลือก แต่การเคลื่อนไหวของคนดี เป็นการเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด และต้องเคลื่อนไหวที่ส่วนกลาง สามเหลี่ยมเขยื้อนประชาธิปไตยออกไป ได้แก่ สื่อมวลชน ข้าราชการ คนดี ฯลฯ ในแง่นี้การเคลื่อนไหวของชาวบ้านจะถูกทำให้เป็นผู้ร้าย ซึ่งกฎหมายหรือองค์กรของรัฐไม่ได้ยืนข้างชาวบ้าน

เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว : หลังรัฐประหารเจ้าหน้าที่เลือกข้างชัดเจน ข้างที่ตรงข้ามกับชุมชน

เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว เปิดฉากการอภิปรายด้วยข้อเรียกร้องให้ "เลิกกฎอัยการศึกทันที แล้วนำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย" เธอเห็นว่า ตอนนี้ประชาชนไม่สามารถที่จะรอได้หากเราฟังการอภิปรายปัญหาในพื้นที่ของชาวบ้าน เรารอกระบวนการตามโรดแม็ปตาม คสช. ไม่ได้

เบญจรัตน์ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของสถานการณ์ปัจจุบันกับปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน เธอชี้ว่า หลังรัฐประหารเจ้าหน้าที่รัฐได้เลือกข้างชัดเจน คือเลือกข้างบริษัทเอกชน และไม่ได้ถือข้างปกป้องสิทธิพลเมือง พิสูจน์ว่าประเด็นทรัพยากรกับประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ เรามักจะพบว่าชาวบ้านชอบถูกเรียกร้องให้เสียสละเพื่อความมั่นคง คำถามคือ ความมั่นคงเหล่านี้ เป็นความมั่นคงของใคร

ประเด็นที่เกิดมาในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เพิ่งเกิด มีความขัดแย้งระหว่างชาวบ้าน แต่มันเปลี่ยนอย่างสำคัญจากเหตุการณ์รัฐประหาร และในปัจจุบันความหมายสิทธิมนุษยชนกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม หรือ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยินหรือรับรู้

“การที่เราอยู่ภายใต้รัฐทหาร เราเห็นความเด็ดขาดของรัฐในประเด็นทรัพยากรจากคำสั่ง คสช.เยอะมาก ภาวะคุกคาม ข่มขู่ ปรากฏชัดเจนมากในรอบ 10 เดือน ยิ่งหากเราเปรียบเทียบกับก่อนหน้านั้น และในปัจจุบันเราไม่สามารถเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งมันถูกพรากออกไปโดยกฎอัยการศึก”

ในส่วนประเด็นบทบาทของทหารในปัจจุบัน เธอเสนอว่า “ถ้าหากเราย้อนไปประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าทหารพยายามเข้าไปแทรกแซงหรือแย่งยึดทรพยากรของชาวบ้านมาโดยตลอดเสมอ มีการจัดการโยกย้ายประชาชน ตัวอย่างคือ คำสั่งคณะปฏิวัติที่ 81/2516 เรื่องการจัดการป่าไม้ ของจอมพลถนอม ที่เป็นตัวอย่าง การปราบปรามชาวบ้าน และไล่ยึดที่ทำกิน ลักษณะนี้เหมือนกับมาตรา 17 ของสฤษดิ์ ที่คนที่ตัดไม้ทำลายป่าต้องถูกจับประหารชีวิต และในปัจจุบันหากไปดู ภารกิจของ กอ.รมน. ได้ระบุให้ประเด็นป่าไม้กลายเป็นเรื่องความมั่นคงพิเศษ เป็นการให้อำนาจตัวเอง

“ความเห็นทำนองว่า ถ้าไม่ได้ทำความผิดอะไรก็ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเราดูการเสวนาของกลุ่มชาวบ้านเมื่อเช้านี้ เราจะพบว่าขณะที่ชาวบ้านทำไร่ ทำสวนอยู่ดีๆในที่ดินของเขา ยังถูกทำร้ายด้วยการอ้างกฎอัยการศึก เพราะฉะนั้นข้ออ้างนี้ไม่ใช่แล้ว คนที่เสนอความเห็นนี้มองเห็นกฎอัยการศึกแล้วมันดูดี แต่สิ่งที่เลือกมองไม่เห็นคือ เรื่องความขัดแย้งและความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความไม่เท่าเทียม เรามักจะยินยอม ให้กับผู้รู้ดี จัดระเบียบสังคมในนามของความสุข”

ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างกฎอัยการศึกกับสิทธิชุมชน/สิทธิมนุษยชน มีคำถามว่าการบังคับกฎอัยการศึกแปลว่า สิทธิต่างๆไม่หลงเหลือเลยหรือไม่ เบญจรัตน์เสนอให้มองใน 2 ประเด็นคือ 1.พิจารณาจากที่มาของความชอบธรรมที่ถูกนำมาใช้ และ 2. พิจารณาการนำมาใช้ว่าชอบธรรมหรือไม่

หากดูกฎอัยการศึก จะพบว่ามันถูกใช้มานานกว่า 100 ปี เนื้อหาสาระก็คือ เป็นเรื่องกฎหมายความมั่นคง ใช้ในสถานการ์พิเศษไม่ใช่สถานการณ์ปกติ กฎหมายบังคับใช้ได้เฉพาะต่อความอยู่รอดของรัฐเท่านั้น เท่าที่จำเป็นจริงๆ ปัญหาคือ อะไรที่เป็นข้ออ้างให้รัฐบาลนี้อ้างการใช้กฎอัยการศึกได้ หรือ ใครนิยาม ตอนที่ คสช. ใช้คือ "เพื่อให้การรักษาความเรียบร้อยให้เป็นประสิทธิภาพ…" ดังนั้นตอน คสช. ใช้ไม่ได้มีความชอบธรรม ชาวบ้านทำมาหากินแบบเมื่อเช้าเป็นปัญหาต่อความอยู่รอดของรัฐได้หรือ ฉะนั้นแค่ที่มาความชอบธรรมก็ตกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการบังคับใช้แล้ว เราต้องเสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก

กฎอัยการศึกให้อำนาจทหารครอบคลุม เช่น กรณีขึ้นศาลทหารของพลเรือน ซึ่งหากพิจารณารายละเอียด ตามหลักสากล เราจะพบว่ารัฐไม่อาจลิดรอนสิ่งนี้ได้ สิทธิในกระบวนการยุติธรรมรัฐต้องประกันไว้ให้พลเมือง และกรณีทหารมีอำนาจเต็มในการจัดการประชาชน  เราเรียกร้องค่าเสียหายไม่ได้ เผาบ้านในชุมชนได้ เพราะกฎอัยการศึกเขียนไว้ ท้ายที่สุดความผิดอาญา เกือบทุกมาตรา อยู่ในขอบเขตของกฎอัยการศึก เป็นความผิดตามความมั่นคงของรัฐ เช่น การกวาดล้าง จับกุมประชาชนในหลายเดือนที่ผ่านมา กฎอัยการศึกถูกเอามาอ้างใช้ อย่างไรก็ตามในทางสากลยังมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการ เสรีภาพในการคิด สิทธิในทางการถูกบังคับใช้กฎหมาย ไม่อาจถูกลิดรอนได้ในทางใดๆ ประชาชนต้องถูกประกัน เธอทิ้งท้ายว่าเราไม่มีสิทธิเลยจะมีความสุขได้อย่างไร

สุรชัย ตรงงาม : ทหารพึ่งสำนึกว่าสิทธิของชุมชนยังมีอยู่ อย่าล้ำเส้นประชาชน

สุรชัย ตรงงาม กล่าวใน 3 ประเด็น 1. คำสั่ง คสช. ตอนนี้มีขอบเขตหรือไม่อย่างไร 2.สิทธิชุมชนตั้ง 2540 ที่จะได้รับประโยชน์ มีส่วนร่วมกับการอนุรักษ์ยังมีอยู่หรือเปล่า 3.แล้วเราจะทำอะไรกันดี

สุรชัยเห็นว่า ปัญหาร่วมกันของทุกประเด็นปัญหาในพื้นที่อีสานประการหนึ่งคือ ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรนั้นมีการเลือกข้าง เลือกปฏิบัติ มีการใช้กฎหมายพิเศษกับชุมชน หรือเรียกว่ามีการใช้อำนาจอย่างกว้างขวาง ไม่มีขอบเขตอย่างชัดเจน แต่ขึ้นกับการตีความของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ปัญหาหนึ่งของการใช้อำนาจอย่างกว้างขวางนี้ อ้างกฎอัยการศึก หรือคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 7 เรื่องชุมนุม 5 คน หรือ ฉบับ 64 เป็นหลัก แต่ที่สำคัญกว่าอันคือไม่อ้างอะไร อยู่ดีๆ "มาขอความร่วมมือ" การอ้างอำนาจแบบนี้ อย่างที่อาจารย์เบญจรัตน์ว่าคือเป็นกฎหมายโบราณ ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักเสรีประชาธิปไตย

อย่างไรก็ดี ก็มีคำถามว่าแล้วมันมีขอบเขตไหม ผมพบว่ามันมีการตีความแบบนี้อยู่ ดังที่รียกว่ากฎหมายมีชีวิตของมันอยู่ โดยประชาชน ดังนั้น การใช้อำนาจอย่างกว้างขวางมีหลักอย่างหนึ่งอยู่คือ ในยุครัฐสมัยใหม่ การใช้อำนาจไม่ต้องอ้างอะไรเลยทำไม่ได้ แม้กฎหมายจะเป็นที่มาของอำนาจ แต่ก็เป็นที่มาของการจำกัดอำนาจด้วย ไม่ใช่ใช้อำนาจโดยไม่มีขอบเขต เช่น กฎอัยการศึกยังมีขอบเขตอยู่ เช่น กรณีมาตรา 15 ทวิ ที่ให้อำนาจในการกักตัว ดังนั้นเราจะพบว่ามันมีเงื่อนไขอยู่

ประเด็นที่สอง สิทธิชุมชนยังมีอยู่หรือไม่ เรายังพบว่ากฎหมายอื่นๆ เช่น รัฐธรรมนูญ ยังคงรับรองสิทธิประชาชน  เมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องหน่วยงานรัฐ กรณีบุกรุกป่าดงมะไฟ จังหวัดหนองบัวลำภู ศาลชั้นต้นบอกว่า ประชาชนยังไม่เสียหาย ชาวบ้านก็อุทธรณ์ไป ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุดบอกว่า "ประชาชนเสียหาย โดยศาลอ้างสิทธิชุมชน มาตรา 66-67 ตามรัฐธรรมนูญ 50 เท่ากับว่าสิทธิชุมชนยังดำรงอยู่ ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งยึดโยงกับมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) ปี 2557 ซึ่งตรงกับมาตรา 7 ใน รัฐธรรมนูญ 50 ตรงนี้มันมีนัยยะว่าสิทธิชุมชนยังไม่จบสิ้นไปตามคำสั่งคณะรัฐประหาร         

“ผมเสนอว่าทหารต้องสำเหนียกหรือสำนึกว่าสิทธิของประขาชนยังมีอยู่ การใช้อำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและสิทธิชุมชน ไม่ละเมิดสิทธิของประชาชนจนเกินควร”

ต่อกรณีเมื่อทหารหรือหน่วยงานรัฐเห็นว่า ไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจได้ตามรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนขึ้น (มาตรา 16 กฎอัยการศึก) ทางออกจะเป็นอย่างไร สำหรับกฎอัยการศึก ความจริงพี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ เผชิญกับเรื่องนี้มานานแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่  และพบว่าในอดีตที่ผ่านมามีคำวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้                

ดังตัวอย่าง การซ้อมทรมานชาวบ้านของเจ้าหน้าที่ที่ปัตตานี ชาวบ้านก็ไปฟ้องต่อศาล ว่ากฎอัยการศึกเป็นการใช้อำนาจทางปกครองในทางหนึ่ง ดังนั้นต้องขึ้นศาลปกครอง หมายเลขคดีที่ 14/2555 คดีแดง ศาลปกครองสงขลา ศาลวินิจฉัยว่า "ตามบทบัญญัติ มาตรา 16 เพียงคุ้มครองเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อำนาจไปโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายรวมถึงทหารที่จะอำนาจไปในทางละเมิดสิทธิในร่างกายของประชาชน" อย่างไรก็ตามต้องมีความรับผิด เช่น หน่วยงานเป็นผู้จ่าย ความรับผิดในทางอาญาด้วย เช่น ไปฟ้องต่อศาลทหาร ศาลทหารปัตตานี 21ก/2553 ทหาร (จำเลย) รับสารภาพ ทำร้ายร่างกาย ศาลก็เห็นว่าจำเลยรับสารภาพ รอการลงโทษ ตรงนี้ยินยันว่าในพื้นที่มีกฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ก็สามารถรับผิดในทางอาญาได้เช่นกัน กฎหมายไม่ได้ให้เพียงอำนาจ แต่ยังจำกัดอำนาจไปด้วย การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่มีขอบเขตอยู่

“สิทธิมนุษยชนของเรายังอยู่ ปัจจุบันชาวบ้าน 3 จังหวัดภาคใต้แก้ไขด้วยการต่อรอง เจรจาให้เกิดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น การควบคุมตัว ญาติ มีหนังสือรับรอง แนวปฏิบัติ การใช้อำนาจต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท