Skip to main content
sharethis

(ชมคลิป) ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หนึ่งในผู้ถูกจับกุมในเหตุการณ์ความรุนแรงหน้าหอศิลป์ 22 พฤษภาคม 58 ลำดับเหตุการณ์ชะตากรรมที่เขาเผชิญ หลังจากที่่พวกเขารวมตัวทำกิจกรรมรำลึกหนึ่งปีรัฐประหาร

๐๐๐๐

เนื่องจากในเหตุการณ์การจัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 1 ปีของการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ของนิสิต นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานครฯ ได้เกิดเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทั้งในและนอกเครื่องแบบขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งได้เกิดกระแสข่าวขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งที่ได้รับจากการแถลงการณ์ด้านเดียวของรัฐบาลและจากสำนักข่าวหลายสำนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ชอบธรรมแก่ข้อมูลที่บุคคลทั่วไปจะได้รับ การแถลงการณ์ในจดหมายฉบับนี้จึงเขียนขึ้นมาจากนักศึกษาบางส่วนที่ถูกจับกุมจากเหตุการณ์นั้น
        
ในเวลา 18.00 น. มีนักศึกษาบางส่วนได้เข้าไปในพื้นที่ที่ได้มีการเตรียมการนัดไว้ คือบริเวณลานกิจกรรมข้องหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานครฯ โดยพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพยายามปิดกั้นไม่ให้ผู้มาร่วมกิจกรรม หรือบุคคลทั่วไปสามารถไปรวมตัวกันได้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้ปิดพื้นที่บริเวณสะพานขาลงไปหน้าลานกิจกรรมดังกล่าว ปิดพื้นที่บริเวณประตูด้านหน้าของหอศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีการตั้งแผงเหล็กกั้นการบุกรุกไว้ที่บริเวณรอบๆ ของลานกิจกรรมดังกล่าว

แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มนักศึกษาก็ยังตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมต่อไปโดยสันติวิธี โดยให้ความเคารพแก่เจ้าหน้าที่ เช่นไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียง ไม่มีการตะโกนเสียงดัง ไม่มีการยั่วยุเจ้าหน้าที่ ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนที่ใช้คำผรุสวาทก่อนก็ตาม ด้วยสภาพของลานกิจกรรมที่มีรั้วปิดกั้นเอาไว้ จึงทำให้กลุ่มนักศึกษาและผู้มาเข้าร่วมดังกล่าวเลือกที่จะทำกิจกรรมรอบนอกรั้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารขึ้น คือการที่กองกำลังทหารและเจ้าหน้าที่พยายามที่จะจับกุมและบุกเข้าชาร์จดึงผู้เข้าร่วมกิจกรรม ให้เข้าไปในพื้นที่รั้ว เพื่อจับกุมนักศึกษาบางคน (แล้วภายหลังนำไปอ้างว่าผู้ร่วมกิจกรรมกลุ่มนั้นได้ใช้กำลังบุกเข้าไปในรั้ว ทั้งที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังแขนดึงกลุ่มนักศึกษาเข้าไปในเขตรั้วเอง)

ถึงแม้สภาพการณ์จะเป็นการที่นักศึกษาพยายามต่อต้านการจับกุมดังกล่าว ในการปะทะครั้งแรกนี้ มีนักศึกษาบางส่วนถูกจับตัวไปมีการใช้กำลังกับนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการกระชากผม รัดคอ หรือแม้กระทั่งการจับโยนบก เสียงจากบุคคลทั่วไปบางท่านในขณะนั้นมีการส่งเสียงเชียร์ให้เจ้าหน้าที่ว่า “เจ้าหน้าที่มีปืน ทำไมไม่ใช้ยิงพวกมันเลย” หลังจากการปะทะครั้งแรกนั้น ก็มีการปะทะของเจ้าหน้าที่ในครั้งที่ 2 ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เข้าชาร์จนักศึกษา โดยในตอนแรกอ้างว่า จะให้นักศึกษาออกไปนอกรั้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเจ้าหน้าที่พยายามที่จะผลักตัวกลุ่มนักศึกษาไปนอกบริเวณฟุตบาทสำหรับเดิน ให้ไปตกที่ถนนใหญ่

กลุ่มนักศึกษาถึงแม้ว่าจะแสดงอาการต่อต้านเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน แต่ก็ยังโต้ตอบด้วยเหตุผล เช่น เราทำอะไรผิดถึงได้จับพวกเรา?, ทำไมเราถึงไม่มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง? ฯลฯพร้อมๆกับเวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชื่อว่า พ.ต.ต. กิตติศักดิ์ บุญเติม ได้ตะโกนยั่วยุกลุ่มนักศึกษาอยู่ตลอด ซึ่งต่อมาหลังดันนักศึกษาไปจนเกือบถึงถนนใหญ่แล้ว เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยังไม่หยุดยั่วยุนักศึกษา ด้วยการตะโกนออกมาว่า

“น้องเงียบ ฟังพี่นิดนึง ตรงเนี้ยเป็นวังพระเทพฯ ถ้าทำอย่างเนี้ยไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”

ซึ่งทำให้ผู้คนบริเวณนั้นโห่ร้องใส่เจ้าหน้าที่ ด้วยความไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่กล่าวพาดพิงสถาบัน เนื่องจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันเลยสักนิด และพื้นที่นี้ก็เคยถูกกลุ่มการเมืองกลุ่มอื่นๆใช้สำหรับจัดกิจกรรมทางการเมืองที่พาดพิงสถาบันหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่กลับจะใช้สถาบันเป็นข้ออ้าง ราวกับว่ากิจกรรมของเรานั้นจาบจ้วงพระองค์ท่าน

หลังจากการสลายขบวนของเจ้าหน้าที่ในครั้งที่ 2 นักศึกษายังยืนยันที่จะจัดกิจกรรมกันต่อไป เพราะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุผลมากพอที่จะหยุด นักศึกษาทั้งหมดนั่งลงและล้อมวงกันเป็นวงกลม และผลัดกันพูดความในใจ ต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเจรจาขอให้นักศึกษาสลายการทำกิจกรรมแต่นักศึกษาทั้งหมดยืนกรานในสิทธิอันพึงกระทำของพวกเขา อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังขอให้ส่งตัวแทนเข้าไปพูดคุย แต่กลุ่มนักศึกษาไม่มีใครเป็นตัวแทนใครได้ เนื่องจากต่างคนต่างมา บางคนไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ (เช่น พี่ปณต ศรีโยธา ที่โดนลากไปทันที เพียงเพราะอยู่ใกล้ๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่มนักศึกษากลุ่มใดเลย)

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความประสงค์ให้ทางเจ้าหน้าที่มาเจรจากับทางสาธารณะ ต่อมาจึงเกิดการปะทะกันครั้งที่ 3 ขึ้น โดยเจ้าหน้าที่เข้ามาลากตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวร่วมๆ 20 คน บางคนไม่ได้เป็นคนของกลุ่มกิจกรรมใด บางคนไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่เลย ซึ่งก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมากขึ้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่เหลือจึงยืนกรานที่จะทำกิจกรรมกันต่อไป

ในวินาทีที่เพลง แสงดาวแห่งศรัทธา และ เพื่อมวลชน ดังขึ้นนั้น ได้มีกระแสไฟฟ้าช็อตผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาจากทางเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีข่าวอ้างมาว่าเกิดไฟรั่วขึ้นบริเวณนั้นก็ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางเทคนิค ในครั้งนี้มีนักศึกษาถูกรวบตัวไปอีก 11 คน ซึ่งรวมผู้เขียนบทความนี้ด้วย

ในการจับกุมครั้งนี้ มีทั้งการจับนักศึกษาโยนบก การใช้คำขู่สารพัดนานาแก่นักศึกษา นำเข็มขัดมัดมือนักศึกษา และตอนที่กลุ่ม 11 คนเข้าไปในรถตู้ พบเห็นว่านายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ หรือ เดฟ หนึ่งในนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมถูกทำร้ายร่างกายถึงขั้นชัก หมดสติ  อีกทั้งบางคนพบเห็นว่ามีการซ้อมทำร้ายโดยการโยนบกและเตะที่ชายโครงอีกด้วยต่างหาก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเพียงถอดเสื้อและเอาน้ำราดไม่มีการประสานงานกับโรงพยาบาลใดๆทั้งสิ้น จนเพื่อนนักศึกษาต้องโทรประสานงานเอง

หลังจากนั้นนักศึกษากลุ่ม 11 คน ถูกควบคุมตัวไปที่ สน.ปทุมวัน ห้องคดีการจราจร ซึ่งหลังจากนั้นเกิดการปะทะครั้งสุดท้ายขึ้น ซึ่งมีคนถูกจับกุมเป็นชุดสุดท้ายจำนวน 5 คน ตามมาในภายหลัง หลังจากนั้นเราจึงทราบว่า มีเพื่อนนักศึกษาอีกคนต้องนำตัวไปที่โรงพยาบาล แต่มีการดำเนินการที่เป็นไปด้วยความล่าช้าเป็นอย่างมากเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ความสนใจ นักศึกษาคนดังกล่าวต้องรอถึง 2 ชั่วโมง ถึงจะได้รับการนำตัวไปโรงพยาบาล

และในขณะอยู่ในห้องควบคุมของกลุ่ม 11 คน ได้มีนักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่งที่มีอาการไม่สบายและโรคหัวใจกำเริบ เจ้าหน้าที่ได้อ้างว่าจะนำตัวส่งพบแพทย์ทันที แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเจ้าหน้าที่พานักศึกษาหญิงคนนั้นไปไว้ที่ห้องสอบสวนถึง 30 นาที กว่าจะได้ไปโรงพยาบาล ซึ่งต่อมาในเวลาตี 2 ได้นำตัวกลับมาที่ สน.ปทุมวัน ทั้งๆที่ควรจะให้เขาพักตามคำสั่งแพทย์

สิ่งที่แย่ที่สุดในสถานการณ์ตอนนั้น คือเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า การดำเนินคดีจะเป็นไปตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา ทั่วไป และแต่ละคนยังไม่ทราบข้อกล่าวหาจากทางเจ้าหน้าที่ว่ามีความผิดฐานอะไร การจับตัวมาโดยผิดปรกติ ไม่มีความผิดชัดเจนเช่นนี้ จึงผิดหลักยุติธรรมทั่วไป โดยสุดท้าย ผมได้ถามกับเจ้าหน้าที่ว่า

“ถ้าคุณจะอ้างกฎหมายปกติจริงๆ การที่นักศึกษามารวมตัวกันแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมืองนั้นเป็นไปตามกฎหมายปรกติ ถ้าเช่นนั้นแล้วคุณจะมาจับพวกผมทำไม”

เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าเป็นเพราะตอนนี้เราต้องใช้มาตรการพิเศษซึ่งมันขัดกับสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้ในทีแรกอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคล 9 คนในภายหลัง

สถานการณ์ ณ ขณะนั้น มีการแบ่งนักศึกษาและผู้ที่ถูกควบคุมตัวไว้ 3 ห้อง ห้องหนึ่ง 21 คน ห้องหนึ่ง 11 คน ห้องหนึ่ง 5 คน การต่อรองเงื่อนไขของนักศึกษาทั้งหมดคือต้องการให้มีการปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดโดยปราศจากเงื่อนไขอันเป็นข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งต่อมาทางฝั่งเจ้าหน้าที่ได้ยื่นข้อเสนอแรกกับห้อง 21 ว่าจะมีการขอชื่อและที่อยู่แล้วจะปล่อยตัวทันที แต่ในขณะเดียวกันที่ห้อง 11 คน และห้อง 5 คน กลับได้รับข้อเสนอแรกว่า จะให้มีการสอบถาม ซักประวัติเบื้องต้น แล้วปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทางฝั่งเจ้าหน้าที่สร้างเงื่อนไขว่าจะมีบุคคล 9 คน ซึ่งหลังออกไปจาก สน.ปทุมวันแล้ว อาจจะมีการดำเนินคดีย้อนหลัง ซึ่งนักศึกษาทุกคนไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้  เพราะการจับตัวมานั้นมันไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก และเราไมจะทิ้งใครคนใดคนหนึ่งไว้เด็ดขาด ถ้าจะไม่ยอมก็จะไม่ยอมกันทั้งหมด

ต่อมากลุ่มนักศึกษาทั้ง 3 ห้อง ยืนยันว่าต้องการประชุมกันทั่วทุกคนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกันและเข้าใจกันมากที่สุด แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้นักศึกษาทั้งหมดได้มีโอกาสพบกันด้วยข้อกล่าวอ้างว่าสถานที่คับแคบ และสิ่งที่เราได้ทราบในภายหลังคือเงื่อนไขในการยอมความในแต่ละห้องไม่เหมือนกัน เพราะถ้าเรารวมกลุ่มกันเมื่อไรอาจสร้างเงื่อนไขการต่อรองที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา เขาต้องการสร้างเงื่อนไขของการแบ่งแยกแล้วปกครอง (Divide and rule) รวมถึงการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกันขึ้น

การเจรจาเริ่มตั้งแต่ช่วง 2 ทุ่มจนถึง 6 โมงเช้า จึงได้ยอมรับข้อเสนอที่เหมือนกันทั้งหมด คือการเขียนคำว่า “ไม่เคลื่อนไหว” บนสำเนาบัตรประชาชน หลังจากการเจรจาต่อรองเงื่อนไขหลายรอบและถูกปล่อยตัวมาพบกันทั้งหมด เราจึงทำความเข้าใจว่าที่มีการแตกคอกันเองเป็นเพราะการปลุกปั่นภายในโดยเจ้าหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่นทางห้อง 21 คน ได้รับข้อเสนอว่า ไม่ขอชื่อและที่อยู่ใดๆทั้งสิ้น ไม่มีการเซ็นอะไร แค่สัญญาลูกผู้ชายปากเปล่า ในขณะเดียวกัน ห้อง 11 คน กับ 5 คน ดันได้ข้อเสนอว่า ขอชื่อ ที่อยู่ และข้อความเขียนด้วยลายมือว่าจะไม่ทำอีก แล้วจะปล่อยตัวโดยทันที

จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขไม่ตรงกัน แถมพอนักศึกษา ห้อง 11 คน ยอมรับเงื่อนไขของเจ้าหน้าที่แล้ว กลับกลายเป็นว่าให้เอาบัตรประชาชนออกมาด้วย และให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปเก็บไว้อีก ซึ่งไม่ตรงกับเงือนไขที่แจ้งมา แต่เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าถ้าไม่เอาก็เข้าคุกทันที รวมถึงมีการสร้างข่าวลวงมาว่ากลุ่ม 5 คน ได้เซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงยังไม่ได้เซ็นอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีการปล่อยข่าวลือไปให้กลุ่มคนที่มารอเราบริเวณหน้า สน.ปทุมวัน อยู่เป็นระยะๆ

หลังจากนักศึกษาทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว กลุ่มของผู้เขียนได้รีบหลบหนีไปสถานที่อื่นพักหนึ่งเนื่องจากได้ข่าวมาว่ามีทหารไปตรวจสอบที่อยู่ของพวกเรา และตัดสินใจที่จะเขียนแถลงการณ์ชิ้นนี้ขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่ตัวผู้ถูกจับกุมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้



ลงชื่อ
ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์
ผู้ถูกควบคุมตัวในกลุ่ม 11 คน

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net