วันนี้ (9 มิ.ย. 58) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาร่างหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินและร่างสัญญาเงินกู้ JICA ระยะที่ 2 วงเงิน 10,000 ล้านบาท (38,203 ล้านเยน)
ความน่าสนใจอยู่ที่ท้ายวาระนี้ระบุว่า แต่เดิมการกู้เงิน JICA ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญปี 2550 (หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันกับการค้า การลงทุน หรืองบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ) แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ไม่รวมหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันต่องบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างว่า ผูกพันรัฐบาลไทย จึงเสนอให้แค่คณะรัฐมนตรีพิจารณา
การกู้เงินต่างประเทศเคยเป็นประเด็นมาทุกยุคสมัย ไม่ใช่เพราะจำนวนเงินกู้ แต่อยู่ที่เงื่อนไข รัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆไปทำสัญญาด้วยความอยากได้เงินกู้ หรือจะด้วยความเร่งรีบจนไปยอมรับเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศชาติเสียเปรียบหรือไม่ จึงจำเป็นต้องผ่านรัฐสภา หรืออย่างน้อยในภาวะรัฐประหาร ก็ต้องผ่านสภานิติบัญญัติซึ่งก็คงยกกันเป็นฝักถั่ว ไม่มีคำถามไม่มีข้อสังเกต แต่อย่างน้อยเนื้อหาได้ถูกเปิดเผยออกมาบ้าง
อยากย้ำอีกครั้งว่า เงินที่ประเทศกู้ยืม ไม่ได้ผูกพันแค่รัฐบาล แต่ผูกพันการใช้งบประมาณของทั้งแผ่นดิน และรัฐบาลที่มาจากรัฐบาลก็มีโอกาสทุจริต คอรัปชั่น หรือ ไม่ฉลาดพลาดพลั้งเท่าๆ กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้นจึงต้องเปิดเผย โปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและเข้าถึงข้อมูลจากทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปดูความเห็นของครม.ต่อร่างรัฐธรรมนูญ ขณะนี้ ก็จะพบว่า ในมาตรา 193 ว่าด้วยหนังสือสัญญาระหว่างประเทศนั้น แย่พอๆกับสมัยรัฐบาลทักษิณที่รัฐบาลและคสช.รังเกียจนักรังเกียจหนา นั่นคือ ตัดนิยาม หนังสือสัญญาที่กระทบความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ สรุปคือ ตั้งใจปกปิดเรื่องสัญญาเงินกู้เป็นสำคัญ และตัดกระบวนการการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาลในการกำหนดนโยบายสาธารณะจนแทบสิ้น
อีกครั้งกับการละทิ้งธรรมาภิบาลในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ยึดคืนพื้นที่ประชาชน กระชับอำนาจชนชั้นนำไทย
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรก ในเฟซบุ๊กของ Kannikar Kijtiwatchakul 9 มิถุนายน 2558
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)