รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอก็ได้

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

หมอทะเลาะกันผู้ป่วยลำบาก ยิ่งเป็นผู้ป่วยที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง)ยิ่งแล้วใหญ่  มานั่งวิเคราะห์ดูเห็นว่ากลุ่มก๊วนหมอที่ทะเลาะกันแยกออกเป็นสองกลุ่มชัดเจนคือกลุ่มหมอที่ทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ระดับจังหวัดระดับมหาวิทยาลัยกับกลุ่มหมอในโรงพยาบาลขนาดกลางๆจนถึงขนาดเล็กในระดับอำเภอ

ประเด็นที่ทะเลาะกันอาจมีหลายเรื่องทั้งที่เกี่ยวกับความเชื่อหลักการแนวทางในการทำงาน ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ความเป็นพรรคพวก ความเป็นนายเป็นลูกน้อง ความเป็นสถาบันที่จบออกมา ความเหลื่อมล้ำในเรื่องรายได้ ปริมาณงาน โอกาสความก้าวหน้า ค่าตอบแทน ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนที่ถูกโจมตีและทำให้เป็นแพะรับบาปในตอนนี้คือ “ระบบหลักประกันสุขภาพ”  โดยเฉพาะระบบหลักประกันของบัตรทอง ที่ถูกหยิบยกมาเป็นข้ออ้างเมื่อต้องการดิสเครดิตฝั่งตรงข้าม

กลุ่มหมอสาธารณสุขจังหวัดกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็ออกมาโจมตีว่าเพราะให้มีการรักษาฟรี คนจึงมากันล้นโรงพยาบาลหมอทำงานกันไม่หวาดไม่ไหว เงินก็ได้รับไม่มากพอ ค่าตอบแทนทำงานเต็มที่ก็ยังได้ใกล้เคียงกับพวกหมอในระดับอำเภอที่ไม่ต้องทำงานหนักส่งต่อคนไข้อย่างเดียว  แล้วยังถูก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กั๊กเงินไว้อีก กันไว้ส่วนกลางทำโน่นทำนี่ยุบยับไปหมดทำให้เงินไปถึงโรงพยาบาลน้อยเกินไป

ขณะที่กลุ่มหมอในระดับอำเภอก็ออกมายืนยันนั่งยันว่าระบบที่ สปสช.บริหารกองทุนนั้นดีอยู่แล้วเป็นการกระจายเงินไปตามสิทธิของประชาชนตามจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ ที่ผ่านมาในอดีตเพราะให้กระทรวงสาธารณสุขบริหารเองจัดการเองการกระจายงบประมาณก็ไม่ไปตามจำนวนประชากรแต่ไปตามขนาดของโรงพยาบาลซึ่งแน่นอนโรงพยาบาลใหญ่โรงพยาบาลจังหวัดก็รับไปเนื้อๆพวกโรงพยาบาลในชนบทแม้จะต้องดูแลประชากรหลายแสนคนก็ได้งบไม่มากพอ  แถมมีโอกาสคอรัปชั่นได้มากกว่าเพราะงุบงิบบริหารกันในกระทรวง รวมถึงใครเข้าถึงนายได้มากกว่าก็มีโอกาสได้งบมากกว่า ได้โอกาสความก้าวหน้ามากกว่า

เรื่องทะเลาะกันจึงอยู่ที่ใครจะได้เป็นปลัดกระทรวง ใครจะเป็นพรรคพวกของปลัด ซึ่งแน่นอนย่อมได้รับอานิสงฆ์ต่อกัน

สิ่งที่ทำกันก็คือออกมาแฉพฤติกรรมกันไปมาทั้งเรื่องการคอรัปชั่นเวลา เบิกค่าโอทีทำงานโดยไม่ทำงาน เอารถราชการไปใช้ส่วนตัว ฯลฯ  ที่สุดก็โยนมาที่เรื่องงบประมาณไม่พอ พวกประชาชนที่ใช้บัตรทองฟรีต้องร่วมจ่ายเงิน วนกลับมาที่เรื่องหลักการและแนวคิดว่าด้วยการจัดสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมีข้อถกเถียงกันในสังคมโลกมาตลอดเวลาว่าควรจัดให้เฉพาะคนจนเท่านั้น หรือเป็นการจัดแบบถ้วนหน้า

สำหรับระบบหลักประกันสุขภาพของไทย เป็นการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้ามาแล้ว หากถอยกลับไปให้คนรวยร่วมจ่าย รัฐจัดให้เฉพาะคนจน ก็กลับไปที่การถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำออกไปเหมือนเดิม หรือพูดอีกอย่างว่าคนรวยไม่ต้องมาใช้ระบบบัตรทอง ไปซื้อบริการเองตามเงินที่มีของตน  ยิ่งไปตอกย้ำความเหลื่อมล้ำให้ระบบทุนเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตในสังคมไทยนั่นคือไปส่งเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนเติบโต เรียกเก็บเงินค่ารักษาแพงๆ เพราะคนรวยย่อมใช้อำนาจเงินในการซื้อบริการ

ทั้งๆที่รู้ว่าทรัพยากรด้านสาธารณสุขนั้นมีความจำกัดโดยเฉพาะการผลิตหมอ พยาบาลให้เพียงพอแก่ความต้องการก็ไม่เคยสำเร็จเพราะคนมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นก็ช่วยลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน คนมีเงินจ่ายก็ช่วยให้โรงพยาบาลเอกชนดึงบุคคลากรไปให้บริการได้ตามจำนวนเงินเดือนที่สูงมากๆของหมอ  อย่างนี้ถือว่าเป็นวังวนของปัญหาระบบหลักประกันสุขภาพของไทย

แม้การเพิ่มเงินงบประมาณให้ระบบก็ยังไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การจะแก้ปัญหานี้ได้ต้องได้คนมีฝีมือมีวิสัยทัศน์ก้าวพ้นไปจากเรื่องพวกพ้อง การทะเลาะเบาะแว้งกันเองของกลุ่มหมอ  คนที่เป็นนักบริหาร นักเศรษฐศาสตร์ นักมนุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ เพราะการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของคนจำเป็นต้องมองในทุกมิติชีวิตมนุษย์

การลงทุนในชีวิตมนุษย์เป็นการลงทุนระยะยาวและมีความยั่งยืน หากจะเปลี่ยนรัฐมนตรีสาธารณสุขทั้งที หาคนนอกที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในกลุ่มหมอแต่ฝักใฝ่ในประชาชนพร้อมจะปฏิรูปสังคมไทยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขจะดีไม่น้อยทีเดียว

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท