Skip to main content
sharethis
เปิดสถาบันพัฒนาบุคลากรอุตฯยานยนต์ ตั้งเป้า 3 ปี ผลิตครูฝึก 3,000 คน
 
นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์(Automotive Human Resource Development--AHRDD) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค1 สมุทรปราการ ว่า เป็นสถาบันพัฒนาบุคลากรฯ ที่ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 ที่เสนอแนะโดยคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์มีการจ้างงานสูงถึง 7 แสนคน สามารถสร้างรายได้ซึ่งคิดเป็นจีดีพีให้กับประเทศไทยได้ถึง 10 % ทั้งนี้เกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกฝีมือให้กับคนไทยพร้อมทั้งสนับสนุนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งมอบอุปกรณ์ และเมื่อปี 2556 และได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อทำโครงการฝึกครูอาชีวะกับครูฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้มาเรียนในสถาบันอาร์ดา ทั้งนี้เชื่อว่าจะสามารถแนะนำบุคลากรในสถานประกอบการให้มาฝึกทักษะฝีมือในสถาบันดังกล่าวได้
 
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ผลการดำเนินงานในปี 2558 สามารถผลิตครูฝึกได้จำนวน 1,000 คน และจะเพิ่มจำนวนครูฝึกให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพี่ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มาศึกษาดูงาน ซึ่งประเทศไทยสามารถประกอบรถยนต์ที่ได้มาตรฐานเป็นอันดับต้นๆ สำหรับการพัฒนาบุคลากรส่วนใหญ่จะเน้นครูฝึก อาทิ งานเชื่อม CMC เมคาทอนิกส์ มีการฝึกสอน ซึ่งเบื้องต้นภายใน 3 ปี จะสามารถผลิตบุคลากรได้ถึง 2-3 พันคน ทั้งเป็นครูฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและครูฝึกในสถาบันการอาชีวศึกษา และจะเป็นสถาบันที่เปิดให้นักเรียนอาชีวศึกษาได้เข้ามาศึกษาดูงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์
 
ด้านหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า สถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์เกิดขึ้นจากความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  ที่มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การสนับสนุนของ กพร.ปช. สถาบันอาร์ดามีนโยบายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระบบการศึกษา ยกระดับกำลังแรงงานในตลาดเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานในสถานประกอบการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตามกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้ประกอบยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ และกลุ่มศูนย์บริการซ่อมบำรุง
 
(เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ, 3/9/2558)
 
รมว.แรงงานชูแรงงานปลอดภัย กระตุ้นความเข้มแข็งข้าราชกา
 
พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและรับฟังภารกิจของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า การดำเนินงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานต้องถือว่าเป็นส่วนที่ทำให้แรงงานมีความมั่นคง ชีวิตการทำงานมีความปรองดองสมานฉันท์มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและต่อเนื่องจากพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ จะสานต่อนโยบายเหล่านั้นเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
 
“อยากให้สนใจในเรื่องของการสร้างความปลอดภัยในการทำงาน การคุ้มครองสิทธิแรงงาน กระบวนการแรงงานสัมพันธ์ เพราะการคุ้มครองแรงงานด้านความปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ สถานประกอบการทุกแห่งจะต้องมีการรักษาความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากการทำงานและสร้างความเชื่อมั่นให้แรงงานในการปฏิบัติงาน จากข้อมูลด้านอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากการทำงานที่ลดลงต้องขอชื่นชมการทำงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในการให้ความสำคัญในการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการทำงาน”
 
สำหรับเรื่องแรงงานสัมพันธ์ ข้อพิพาทแรงงานจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายแบบหุ้นส่วนมีความเอื้ออาทรต่อกัน อาศัยหลักการพูดจากัน เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดงานเพื่อร้องเรียนในเรื่องต่างๆ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ต้องดูแลผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ให้มีความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายบนพื้นฐานของการทำงานร่วมกัน ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างความเข้าใจให้นายจ้างลูกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกจ้างให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิ หน้าที่รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างทั่วถึงและเน้นเป็นพิเศษกับแรงงานที่อยู่ห่างไกลและยากแก่การเข้าถึงแรงงานรับเหมาช่วง (ห้องแถว)
 
“ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องติดตามความเคลื่อนไหว สถานการณ์ที่อาจมีส่วนให้นายจ้าง ลูกจ้าง กระทำการอันหนึ่งอันใดที่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และก่อให้เกิดเป็นชนวนปัญหาขึ้น ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะต้องติดตามและหาทางแก้ไขปัญหานั้นในเบื้องต้นโดยเร็ว ซึ่งต้องระวัง ป้องปรามเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามก่อให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือกระทรวงแรงงานจะแก้ไขได้ นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญเรื่องของการจัดทำฐานข้อมูลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพราะหากขาดฐานข้อมูลที่รอบคอบและแม่นยำก็คงทำงานไม่ได้ คงจะต้องมีการฟื้นฟู ทบทวนเรื่องของฐานข้อมูล”
 
(RYT9, 3/9/2558)
 
เตือนประชาชนที่สมัครงานผ่านโซเชียลระวังนายหน้าเถื่อนหลอกไปทำงานยังประเทศเกาหลี
 
นายประพันธ์ วิศิษฏจินดา จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนายหน้าเถื่อนทั้งในประเทศไทย และสาธารณรัฐเกาหลี ประกาศรับสมัครงานผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยอ้างว่าสามารถพาไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีได้ และมีคนงานไทยจำนวนมากหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการให้คนงานไทยใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการเดินทาง และเมื่อเดินทางไปถึงแล้วไม่มีงานให้ทำตามที่ประกาศไว้ หรือต้องทำงานอย่างหลบๆ ซ่อนๆ หรือถูกบังคับให้ค้าประเวณี
       
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ทางสาธารณรัฐเกาหลีได้ชี้แจงกรณีการรับสมัครงานโดยเฉพาะงานในตำแหน่งพนักงานนวด หรือผู้ให้บริการนวด ทางสาธารณรัฐเกาหลีขอสงวนอาชีพนี้ไว้ให้เฉพาะชาวเกาหลีที่พิการทางสายตาที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น และการเดินทางไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
       
นายประพันธ์ เปิดเผยต่อว่า การเดินทางไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลีที่ถูกต้องตามกฎหมายมีการดำเนินงานดังนี้ 1.ดำเนินการภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ ซึ่งดำเนินการผ่านกรมการจัดหางานเท่านั้น โดยอนุญาตให้ทำงานได้ใน 5 ภาค ได้แก่ ภาคการผลิต, ภาคก่อสร้าง, ภาคเกษตรและการผสมพันธุ์สัตว์, ภาคประมง และภาคบริการ (คลังห้องเย็น ร้านอาหาร การกำจัดของเสีย บริการซ่อมรถยนต์ทั่วไป บริการในครัวเรือน เป็นต้น)
       
โดยผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลีก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับการจัดส่งชื่อให้นายจ้างเกาหลีคัดเลือกให้เข้าไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.overseas.doe.go.th
       
2.แรงงานต่างชาติประเภทช่างฝีมือ ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติ หรือขอวีซ่าจากกระทรวงยุติธรรม สาธารณรัฐเกาหลี โดยต้องผ่านการทดสอบตามเกณฑ์มาตรฐานจาก KOTRA (Korea Trade-Investment Promotion Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการคัดสรรคนงานที่มีทักษะฝีมือ หรือความสามารถผ่านระบบ HUNET KOREA
       
ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอเตือนให้ประชาชนคนหางานอย่าได้หลงเชื่อการประกาศรับสมัครไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือบุคคลใดที่แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีได้
       
เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง และถูกบังคับให้ค้าประเวณี การถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย 
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 3/9/2558)
 
นายกย้ำดูแลแรงงานทุกประเภทเท่าเทียม ชี้ถ้าไทยไม่จัดระเบียบหวั่นเกิดขัดแย้งโลกคุกคามอาเซียน
 
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 4 ก.ย.ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดการประชุมความร่วมมือเชิงวิชาการด้านแรงงานระดับรัฐมนตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้หัวข้อ "ความร่วมมือด้านแรงงานเพื่อยกระดับคุณภาพแรงงานอพยพกับการจ้างงาน" (Enhancing Labour Cooperation on Migration for Employment in CLMTV)
 
การประชุมความร่วมมือเชิงวิชาการด้านแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานและความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีผู้เข้าร่วมระดับรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงจาก 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม
 
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย อยากให้มีครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งถือว่าประชุมวิชาการจะมีประโยชน์กับทุกประเทศเพื่อจะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่ผ่านมามีความร่วมมือด้านเศราฐกิจที่ต้องยกระดับความเป็นอยู่ของประเทศที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกันให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สอดคล้องการพัฒนาของทั้งสองประเทศ และความร่วมมือโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี การศึกษา ต้องพัฒนามากขึ้น เพราะเราถือว่าเราเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้นเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่มีใครนำใคร และจะไม่ทิ้งประเทศใดประเทศหนึ่งไว้แต่จะเดินไปพร้อมกันในอาเซียนทั้งหมด และภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ถือเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สิ่งสำคัญของโลก แต่สิ่งสำคัญทำอย่างไรไม่ให้สินค้าเกษตรราคาไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้ จึงต้องมีการบูรณาการร่วมกัน มีการร่วมมือกันไปพร้อม ๆ เพราะถ้าวันหน้าราคายังเป็นอย่างนี้ ทุกคนก็จะออกจากภาคเกษตรไปทั้งหมด ออกไปอยู่ภาคบริการ ภาคท่องเที่ยวและโรงงานต่าง ๆ อย่างนี้แล้วใครจะปลูกข้าวให้กิน มีแต่อาวุธยุทโธปกรณ์จะอยู่กันอย่างไร
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลุ่มประเทศของเรามีเอกลักษณ์ สามารถดึงดูใจ แต่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัย มีการหลอกหลวงเรื่องการท่องเที่ยวซึ่งประเทศเราต้องไม่เกิดขึ้นอีก เรื่องภูมิศาสตร์ ไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง แต่เราต้องเชื่อมโยงกันหมด การค้าการลงทุน แรงงานต้องเชื่อมกันหมด และต้องเป็นเศรษฐกิจเดียวมีความยั่งยืน วันนี้มีการประชุมด้านแรงงานที่เราต้องยกระดับแรงงานคุณภาพ และดูแลการอพยพและการจ้างงาน
 
ทั้งนี้ ตนทราบว่าทางประเทศฟิลิปปินส์มีการจัดทำแผน และระบบการดูแลแรงงานเป็นอย่างดีทั้งแรงงานต่างชาติที่เข้าไปทำงานและแรงงานของตนเองที่ไปทำงานในประเทศอื่น ๆ ขอให้ไปหาข้อมูลและศึกษามาเพราะเป็นแผนงานที่ดี ซึ่งเพื่อนเรามีอะไรดีเราก็ไปรับของเขามา และหากประเทศไทยมีอะไรดีก็ให้รับไปเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และการประชุมวันนี้ถือเหมาะสมกับสถานการณ์และทันกระแส เราต้องบูรณาการร่วมกันเพื่อให้แรงงานทุกคนมีความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งนี้ไทยถือว่ารับแรงงานมากที่สุดเข้ามาในประเทศ ขอบคุณที่ได้รับความไว้วางใจ
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพัฒนากำลังคนให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือกัน ซึ่งไม่ใช่ภาระของประเทศใดประเทศหนึ่ง เราจะต้องดูแลตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทาง โดยต้องคำนึงแรงงานทุกประเภททั้งแรงงานตามฤดูกาล แรงงานรายปี แรงงานที่มีฝีมือ แรงงานที่ไปเช้าเย็นกลับ ไม่เช่นนั้นภาระหนักจะตกอยู่ในความมั่นคงของทุกประเทศอย่างเดียว ซึ่งเรื่องดังกล่าวนำไปสู่การตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและการค้าชายแดน
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แรงงานตามฤดูกาลเพราะในแต่ละปีมีการทำการเกษตรแตกต่างกันตามฤดูกาล ซึ่งจะมีแรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงาน ตนคิดว่าหลายประเทศก็คงเคยประสบปัญหามาเช่นเดียวกัน จะทำอย่างไรให้คนพวกนี้เป็นกลุ่มการจัดเตรียมความต้องการของโรงงาน ซึ่งโรงงานจะต้องมีการทำแผนตามข้อตกลงตั้งแต่เท่าไรถึงเท่าไร เพราะแรงงานแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากันบางทีก็เข้ามาไม่ถูกกฎหมาย แต่พอเราทำตรงนี้เสร็จก็มีการเคลื่อนย้ายแล้ว ก็ไปทำที่อื่นมันก็เป็นบ่อเกิดของการทุจริตผิดกฎหมายของเจ้าหน้าที่ หรือเป็นการหลอกลวงการไม่จ่ายเงินนี่คือสิ่งที่เราจะต้องดูแลมิตรประเทศเขาที่เข้ามา
 
เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นไทยยินดี และรับรองว่าเราจะทำให้ให้ดีที่สุดเพียงแต่ว่าขอให้เข้ามาให้ถูกต้อง ในส่วนแรงงานรายปีมีหลายอย่างที่เราได้มีการพัฒนาไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชนในเรื่องการประกันตนการขึ้นทะเบียนทั้งหมดจะได้ไม่เกิดปัญหา ถ้าหากแรงงานขึ้นทะเบียนถูกต้องเราพร้อมดูแล แต่ถ้าไม่ขึ้นทะเบียนและเข้ามาไม่ถูกต้อง ตนคิดว่าแต่ละประเทศคงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องทำให้เหมือนกัน เราดูแลอยู่แล้วเพราะรู้ว่าทุกคนมีรายได้น้อย
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องการจัดส่งแรงงานที่ถูกกฎหมายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทจัดหางานที่ต้องปรับปรุงมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมายังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร จึงเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทุจริตซึ่งต้องไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีกและต้องไม่ให้มีการค้ามนุษย์โดยเด็ดขาด ซึ่งเราไม่ได้อยากเอาเปรียบและสำนึกถึงแต่เราต้องมองถึงความมั่นคงในประเทศ ซึ่งการเคลื่อนย้ายคนไปมามีทั้งถูกและผิดกฎหมายจึงต้องระมัดระวังในความมั่นคงดังกล่าว
 
ทั้งนี้ ประเด็นที่เราให้ความสำคัญคือหนึ่งการเพิ่มศักยภาพแรงงานในภูมิภาคโดยการจัดตั้งสถานฝึกฝีมือแรงงานอย่างที่ได้ไปตั้งไว้ที่จ.ตาก เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจพิเศษ โดยสถานฝึกฝีมือแรงงานอาจพัฒนาในสถานประกอบเหมือนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) โดยกำหนดให้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับสถานประกอบการซึ่งไทยกำลังเร่งรัดอยู่ นอกจากนี้ จะให้มีการศึกภาษาโดยเฉพาะเรื่องของศัพท์เทคนิคเนื่องจากจะนำไปสู่การพัฒนาจากแรงงานสู่หัวหน้า และไทยเองพยายามส่งเสริมเรื่องภาษาเมื่อเปิดอาเซียนจะต้องพูดได้อย่างน้อย 2-3 ภาษา
 
นายกฯ กล่าวอีกว่า การพิสูจน์สัญชาติที่ต้องเร่งรัดให้ได้โดยเร็ว โดยต้องพิสูจน์สัญชาติตั้งแต่ประเทศต้นทาง แต่ถ้าหากไม่ดำเนินการตั้งแต่ต้นทางก็จะทำให้ใช้กฎกติกาถาวรไม่ได้ และทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเร่งพัฒนาการพิสูจน์สัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่ที่เข้ามาใหม่ต้องมีการพิสูจน์จากประเทศต้นทางมาก่อนเพื่อให้เข้าในช่องทางที่ถูกต้อง เพราะหากรอมารวมจะเกิดปัญหา ขอให้ทุกประเทศเตรียมการเรื่องพิสูจน์สัญชาติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระซึ่งกันและกัน และไทยก็ต้องเร่งเช่นกัน แต่ประเทศต่าง ๆ ก็ต้องจัดชุดเข้ามาช่วยเหลือหากมีปัญหา โดยขณะนี้ผู้นำของหลายประเทศได้ขอเวลาในเรื่องนี้ ซึ่งเราก็ยินดีแต่สุดท้ายภาระก็จะตกมาที่ไทย เนื่องจากเราต้องเตรียมความพร้อมดูแลทั้งเรื่องสาธารณสุขและการศึกษา เมื่อเราให้เวลาไปแล้วก็ขออย่าให้มีปัญหา ทั้งนี้ ภายหลังจากปี 2559 จะไม่อนุญาตให้แรงงานต่างชาตินำญาติติดตามเข้ามาทำงาน พร้อมเสนอให้จัดทำฐานข้อมูลแรงงานบนพื้นฐานเดียวกันของกลุ่มลุ่มน้ำโขง
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเด็นที่ 3 ด้านความร่วมมือด้านแรงงาน ข้อเสนอของรัฐาลไทยคือ อยากให้ทุกประเทศร่วมมือในคราเดียวกัน เพื่อความสะดวกของทุกประเทศ หรืออย่างน้อย ๆ ก็อาจเป็นข้อตกลงร่วมกันที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนประเด็นที่ 4 เรามีความหวังถึงการต่อเนื่องที่จะมีการประชุมร่วมกันแบบนี้ทุกปี ซึ่งรัฐบาลไทยพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เนื่องจากขณะนี้โลกเราไร้พรมแดน เราจึงต้องวาดอนาคตให้คนและแรงงานได้เห็น
 
วันนี้ตนกับผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศมีความเข้าใจกันดี ร่วมมือกันทุกอย่างไม่มีความขัดแย้งเลย และปัญหาตามแนวชายแดนก็ไม่เกิดขึ้น เราขัดแย้งกันไม่ได้อยู่แล้วในทุกเรื่อง ฉะนั้นการพัฒนาในช่วงที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ ยืนยันว่าจะทำให้ทุกอย่างให้เกิดความเท่าเทียมกัน โดนใช้กฎกติกาของประชาคมโลกต่าง ๆ และที่สำคัญคือการลดการทุจริต คอร์รัปชั่นในทุกมิติและเจ้าหน้าที่ต้องถูกลงโทษทุกเรื่อง ซึ่งตนเห็นใจในเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายที่เป็นปัญหามาโดยตลอดหากเราปล่อยปละละเลยมากแล้ว มาเข้มงวดก็เป็นปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่ต้องขอร้องให้เข้าใจ ถ้าเราไม่จัดระเบียบ วันหน้าเหตุการณ์ความขัดแย้งตามซีกโลกอื่น ๆ จะเกิดขึ้นในแถบประเทศอาเซียน ฉะนั้นต้องระมัดระวังและขอให้มีการตรวจสอบแรงงานเหล่านี้
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเกิดความสำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นรากฐานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจความมั่นคง และความผาสุขของประชาชนในประเทศลุ่มน้ำโขง และขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมที่ให้เกียรติประเทศไทยและอยากให้มาท่องเที่ยวบ่อย ๆ ส่วนโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายตอนนี้เรากำลังเร่งให้ ไม่ใช่เพื่อตนหรือประธานาธิบดีเมียนมา แต่เพื่อประชาชนทั้งสองประเทศ และตนได้พาญี่ปุ่นมาร่วมมือ รวมถึงอินเดียก็ตามมา เราต้องร่วมมือกันแบบนี้ จากศักยภาพที่มีอยู่แล้วอย่างประเทศเวียดนามที่มีการท่องเที่ยวทางเรือ ซึ่งตนเคยพูดไปแล้วว่าภายในปีนี้หรือปีหน้าต้องขับรถไปโฮจิมินให้ได้และวันนี้ไทยก็กำลังทำเรือคลุยขนาดใหญ่ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อจะได้เชื่อมต่อกันโดยการท่องเที่ยว
 
"อย่ามาระแวงกัน อย่ามาโกรธกัน ทุกอย่างทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนของทุกประเทศ ผมมีกำลังใจที่เห็นทุกคนร่วมมือโดยเฉพาะมิตรประเทศ ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ประเทศไทยไม่ใช่ศัตรูของใครทั้งสิ้น วันนี้ขอเวลาเราเดินหน้าไปหน่อย ถ้าเอามาตรฐานเดียวกันมาดูทั้งหมดมันไปไม่ได้ ประชาชนก็เดือดร้อน แต่เราเคารพทุกประเทศในโลก” นายกรัฐมนตรีกล่าว
 
(ข่าวสดออนไลน์, 4/9/2558)
 
ก.แรงงาน สั่งคุมเข้มคนงานไปฟินแลนด์กันถูกหลอก
 
กระทรวงแรงงาน ประกาศคุมเข้มการจัดส่งคนงานไปประเทศฟินแลนด์ แก้ปัญหาแรงงานไทยถูกหลอก หลังปีนี้ฟินแลนด์ ต้องการคนงานไทยมากกว่าทุกปี จึงต้องคัดเลือกคนงานที่ดี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ไทย
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ย้ำถึงการเข้มงวดจัดส่งคนงานไทยไปประเทศฟินแลนด์ เนื่องจากเป็นงานเก็บผลไม้ระยะสั้นที่ทำงานเพียง 70 วัน รายได้ต่อคนไม่ต่ำกว่า 70,000-100,000 บาท ต่างจากการทำงานที่ประเทศอื่น ที่มุ่งเน้นงานด้านก่อสร้างและปศุสัตว์ ที่ตัองทำระยะยาว 
 
ประเทศฟินแลนด์ ต้องการคนงานไทยเก็บผลเบอร์รี่ ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน เนื่องจากสต็อกผลไม้ที่กักตุนไว้ไม่เพียงพอจำหน่าย และไม่ทันต่อความต้องการของตลาด โดยจะเริ่มงานกลางเดือนตุลาคมนี้
 
กรมการจัดหางาน จึงประกาศเข้มงวดรับสมัครคนงานเอง โดยคัดเลือกคนงานที่มีความประพฤติดี ขยัน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ไทย พร้อมประสานประเทศฟินแลนด์ถึงมาตรการดูแลคนงานอย่างปลอดภัย และมีหลักฐานการว่าจ้างที่ถูกต้อง ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่กรมการจัดหางาน 
 
(ครอบครัวข่าว, 7/9/2559)
 
เลเบอร์โพลล์เผยแรงงานต้องการให้มีการจัดหางาน 27.23 % ให้ช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิความเป็นธรรมและสวัสดิการ 22.70 %
 
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์วิจัย Labour Poll ณ กระทรวงแรงงาน ว่า ภารกิจบทบาทหน้าที่ของกระทรวงแรงงานนั้น เป็นภารกิจที่มุ่งไปสู่พี่น้องประชาชน ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของกระทรวงแรงงาน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราได้ทำงานตามหลักเกณฑ์ของภารกิจ แต่เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นความต้องการของประชาชนแท้จริงหรือไม่ ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้หรือไม่ ดังที่มีการเปิดศูนย์วิจัยเลเบอร์โพลล์ของกระทรวงแรงงานในครั้งนี้ เพื่อที่จะได้นำผลการวิจัยต่างๆ มาช่วยในการบริหารแรงงาน และทำให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการแรงงานเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนและปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
          
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ถือว่าเป็นชื่อเสียงของประเทศไทยที่มีการวัดผลและประเมินผลในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเรามีการปรับตัวเรื่องการบริหารแรงงานให้เข้าสู่มาตรฐานโลก นำไปสู่การปรับปรุงการดำเนินงานของกระทรวงแรงงาน และอย่างน้อยก็เพื่อให้สามารถดูแลพี่น้องแรงงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากนี้คณะทำงานจะต้องไปกำหนดหัวข้อการสำรวจว่าจะสำรวจความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องใดเพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงในการทำงาน วิเคราะห์ วิจัย ศึกษาและนำไปกำหนดนโยบายของกระทรวงแรงงานและช่วยการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนในระยะที่สองศูนย์วิจัยเลเบอร์โพลล์จะมีการสำรวจสมาร์ทจ็อบเซ็นเตอร์ว่าหลังจากเปิดให้บริการมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้วนั้นประชาชนเห็นว่าอย่างไร ควรแก้ไขเรื่องใดบ้าง นอกจากนี้จะนำทุกเรื่องตามภารกิจของกระทรวงแรงงานมาจัดลำดับความเร่งด่วนเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อไป
 
ด้านนางเพชรรัตน์ สินอวย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พบเรื่องที่น่ายินดีเมื่อนำคะแนนไปเทียบกับผลการวิจัยของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งได้ทำการสำรวจ World Happiness Report 2015 แล้วปรากฎผลการสำรวจพบว่า ความสุขของแรงงานไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ของประชากรโลก ทั้งนี้อันดับ 1 คือ สวิสเซอร์แลนด์ 7.59 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 รองลงมาเป็นไอซ์แลนด์ 7.56 คะแนน เดนมาร์ค 7.53 นอร์เว 7.52 และไทย 7.46 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการสำรวจของกระทรวงแรงงานที่พบว่า ความสุขจากชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานไทยทั่วประเทศ พบว่า โดยรวมแล้วแรงงานไทยมีความสุขค่อนข้างมาก โดยคะแนนจากการสำรวจอยู่ที่ 7.46 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน สำหรับเรื่องที่ทำให้แรงงานไทยมีความสุขมากที่สุดคือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันในการแสดงความจงรักภักดีของประชาชนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ที่ 9.07 คะแนน รองลงมาคือ การช่วยพัฒนาให้คนไทยมีทักษะฝีมือ 8.16 คะแนน เรื่องช่วยให้คนไทยมีงานทำ 8.13 คะแนน และเรื่องสิทธิประโยชน์ของประกันสังคม 8.06 คะแนน
 
ส่วนเรื่องที่ทำให้แรงงานไทยมีความสุขน้อยที่สุด คือ สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ที่ 4.65 คะแนน สำหรับความต้องการของแรงงานไทยที่ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดช่วยเหลือเพื่อทำให้มีความสุขเพิ่มมากขึ้น คือ ต้องการให้มีการจัดหางาน 27.23 % รองลงมาต้องการให้ช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิความเป็นธรรมและสวัสดิการ 22.70 % และต้องการให้เปิดหลักสูตรพัฒนาทักษะฝีมือ 15.32 %
 
กระทรวงแรงงานจึงได้จัดตั้งศูนย์วิจัย Labour Poll ขึ้นเพื่อทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนวัยแรงงานเกี่ยวกับดัชนีความสุขแรงงานไทย จำนวน 1,435 คนระหว่างวันที่ 20-22 กรกฎาคม 2558
 
(กระทรวงแรงงาน, 7/9/2558)
 
พบอุตฯ เกี่ยวเนื่องอากาศยานรุ่ง แต่ยังขาดแรงงานมีฝีมืออีกเพียบ
 
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 หรือบีโอไอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ภายใต้การนำของ นายชนินทร์ ขาวจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนฯ ได้นำคณะสื่อมวลชน ผู้นำอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และใกล้เคียงเข้าเยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายสรุปกิจการของ บริษัท ไลสตริทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน และบริษัท ซีเนียร์ แอโรสเปซ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 2 จังหวัดชลบุรี
       
ทั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานแก่ผู้นำอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีความเข้มแข็ง และเป็นอุตสาหกรรมในภูมิภาค
       
ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้นำอุตสาหกรรมอากาศยานได้มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาปัจจัยสนับสนุน รองรับการขยายตัวทางการลงทุน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและซ่อมบำรุง โดยจัดเป็นกิจการให้ความสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ถือเป็นการลงทุนที่ยั่งยืน ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง
       
ขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น ระบบสาธารณูปโภค แรงงาน อุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และ อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ รวมทั้งภาครัฐยังให้การสนับสนุนด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยาน และศูนย์ซ่อมอากาศยาน เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานที่ครบวงจร และกำหนดมาตรการส่งเสริม และสนับสนุนการลงทุน
       
 ปัจจุบัน ประเทศไทยมีบริษัทที่ได้รับส่งเสริมเพื่อผลิตชิ้นส่วนอากาศยานทั้งสิ้น 18 บริษัท จำนวน 36 โครงการ เงินลงทุนรวมประมาณ 6,379.4 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปด้วยการทุบ Machining และปั๊ม การผลิตชิ้นส่วนจากคอมโพสิตในระดับ Tier 2 และ 3 รวมถึงการผลิตล้อสำหรับอากาศยาน
       
ส่วนบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมในกิจการซ่อมบำรุง ซึ่งรวมถึงการซ่อมชิ้นส่วนมีทั้งหมด 10 บริษัท จำนวน 14 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 2,888 ล้านบาท
       
นายชนินทร์ เผยว่า นักลงทุนให้ความสำคัญที่จะเข้ามาลงทุนด้านอุตสาหกรรมอากาศยานในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโบอิ้ง ผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำ ที่มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้โดยสารทางอากาศในอีก 20 ปีข้างหน้า ในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตสูงขึ้น 3 เท่าตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของการเติบโตทั้งโลก และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีจำนวนผู้โดยสารสูงที่สุด และเมื่อมีความต้องการใช้เครื่องบินสูงขึ้น จึงถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้ให้บริการซ่อมบำรุงในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทย ที่จะรองรับการขยายตัวในกิจการดังกล่าว
       
นอกจากนั้น Rollsroyce ผู้ผลิตเครื่องยนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ในสิงคโปร์ ยังมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต และพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทานในอาเซียน และอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยานของประเทศไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนของ Rollsroyce ดำเนินการอยู่แล้ว 3 รายคือ ไลสตริทส์, ซีเนียร์ แอโรสเปซ และ Triumph construction ซึ่งจังหวัดชลบุรี ยังมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนอากาศยานตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 10 แห่ง
       
“การนำคณะเข้าเยี่ยมชมอุตสาหกรรมอากาศยานในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้เกิดการประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนในท้องถิ่นว่าอุตสาหกรรมอากาศยานได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย และเป็นอุตสาหกรรมข้างหน้า และน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ของไทย และหากเด็กๆ ในท้องถิ่นได้รู้ว่าอุตสาหกรรมเช่นนี้มีโอกาสที่จะเข้ามาทำงานได้ ก็จะได้เลือกศึกษาที่ถูกทาง ขณะที่สถานศึกษาเองก็จะได้เตรียมความพร้อมในการผลิตนักศึกษาด้านอากาศยาน ส่วน บีโอไอ ก็ให้สิทธิประโยชน์สูงสุดต่อการลงทุนในส่วนนี้ เช่นเดียวกับรัฐบาลก็มีนโยบายก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้” นายชนินทร์ กล่าว
       
ด้าน ดร.รัฐพล สาครสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบิน และยังเป็นอาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เผยว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยฯ มีภาคการบินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์นานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่ประสบปัญหาคือไม่มีอุตสาหกรรมอากาศยานรองรับนิสิตที่จบการศึกษา ซึ่งหากเกิดอุตสาหกรรมอากาศยานในพื้นที่จริงก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการเรียนการสอนได้ดี และนิสิตที่สำเร็จการศึกษาก็จะมีงานทำตรงตามที่เรียน เพื่อพัฒนาสู่การออกแบบอากาศยาน รวมถึงซัปพลายเออร์ต่างๆ ก็จะได้ใช้นิสิตในส่วนนี้
       
“มหาวิทยาลัยของเรามีความพร้อมในการผลิตนักศึกษาเพื่อรองรับภาคอุสาหกรรมในส่วนนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมา ที่เรามีนักศึกษาเรียนไม่มากเพราะไม่มีภาคอุตสาหกรรมนี้มารองรับ ซึ่งหลังจากนี้เราจะพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องต่ออุตสาหกรรมอากาศยานที่เข้ามา ซึ่งผมเชื่อว่าบุคลากรของไทยมีความพร้อมมาก และในวันนี้คนไทยก็สามารถผลิตเครื่องบินเองได้ แต่อาจเป็นการผลิตในระดับเครื่องบินขนาดเบา 12 ที่นั่งก่อน แต่เครื่องยนต์ยังไม่มีความสามารถในจุดนั้น” ดร.รัฐพล กล่าว 
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 7/9/2558)
 
ดีเดย์ 15 ก.ย. ลงทะเบียนรับ “เงินเลี้ยงเด็กแรกเกิด” 400 บาท นาน 1 ปี
 
(7 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว “โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” ว่า โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งเป็นหลักประกันให้เด็กได้รับสิทธิด้านการอยู่รอด และการพัฒนาตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
       
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานในหลายประเทศทั่วโลกและเอเชีย เช่น จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เนื่องจากการที่เด็กจะได้รับโภชนาการที่ดี ได้ไปพบแพทย์ตามที่กำหนด หรือการมีหนังสือ หรือของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าใช้จ่าย หากพ่อแม่ของเด็กมีฐานะยากจน ก็ไม่สามารถดูแลเด็กอย่างเหมาะสมได้ สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของเด็ก หากได้รับเงินดังกล่าวถือเป็นการประกันว่าเด็กทุกคนจะมีโอกาสที่ได้รับสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มโครงการเฉพาะเช่นนี้ และจากการสำรวจพัฒนาการเด็กหลายปีที่ผ่านมา พบว่า น่าเป็นห่วง เพราะพัฒนาการด้อยลง รัฐบาลจึงได้เริ่มโครงการดังกล่าว หลัง ครม. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2558 โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ซึ่งเกิดระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2558 - 30 ก.ย. 2559 บิดาและมารดาหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสัญชาติไทย และอยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน ซึ่งจะได้รับเงิน คนละ 400 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน
       
 พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของ พม. กระทรวงหมาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีคณะอนุกรรมการประสานและส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อาสาสมัครอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาล และภาคีเครือข่าย จะค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติ คือ เด็กแรกเกิดและหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเชิญชวนเข้าร่วมโครงการหรือแนะนำให้ไปฝากครรภ์เพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยสามารถลงทะเบียนได้ที่ อปท. ทั่วประเทศ ประกอบด้วย สำนักงานเขตใน กทม. เมืองพัทยา เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ระหว่างวันที่ 15 ก.ย. 2558 - 31 มี.ค. 2559 ส่วนกรณีลงทะเบียนไม่ได้ทัน จะขยายระยะเวลาลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 ก.ย. 2559 โดยผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถยื่นเอกสารลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิได้ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด สำหรับการรับเงิน รับได้ด้วยตัวเองที่กรมกิจการเด็ก และ พมจ. ทุกแห่งหรือผ่านบญชีธนาคาร
       
ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า ได้ให้ อสม. กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ร่วมกับทีมหมอครอบครัว และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ค้นหาและแนะนำหญิงตั้งครรภ์ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ได้รับเงินอุดหนุนตามโครงการ ไปรับการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านและลงทะเบียนขอรับสิทธิ ซึ่ง อสม. จะเป็นผู้ร่วมรับรองสิทธิคนที่ 1 ในแบบรับรองสถานะของครัวเรือน ก่อนส่งให้ อปท. รับรอง เพื่อส่งรายชื่อผู้มีสิทธิให้ พมจ. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สธ. จะส่งทีมหมอครอบครัวประมาณ 70,000 ทีม และ อสม. ลงเยี่ยมบ้านหญิงหลังคลอดที่อยู่ในโครงการ เพื่อให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และตรวจพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้เป็นมาตรการจูงใจให้พ่อแม่พาเด็กไปรับบริการสุขภาพ จะช่วยให้เด็กได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งการตรวจสุขภาพ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค และติดตามพัฒนาการ จึงขอเชิญชวนให้หญิงตั้งครรภ์รับไปฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ และพาบุตรไปรับการตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลตามนัดทุกครั้ง
       
“การพัฒนาสุขภาพแม่และเด็กเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการพัฒนาคนให้สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยจัดโครงการฝากครรภ์ได้ทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีปีละประมาณ 8 แสนคน ฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์หรือก่อนอายุครรภ์ 3 เดือน และฝากครบ 5 ครั้งตามนัด เพื่อให้แม่และเด็กได้รับการดูแลครบถ้วน ทั้งสารอาหารที่จำเป็น รวมทั้งรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน หลังจากนั้น จึงให้กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารของลูกที่ดีที่สุด มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด มีภูมิต้านทานจากแม่ ช่วยร่างกายเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายครัวเรือนในการซื้อนมผงเดือนละ 3,000 บาท การโอบกอดของแม่ขณะให้ลูกกินนม ทำให้เกิดความรักความผูกพัน โดยผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กิน 5 - 11 จุด” ปลัด สธ. กล่าว
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 7/9/2558)
 
รองปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุ แรงงานข้ามชาติ ต้องทำสัญญาให้ชัดเจน แนะให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
 
ดร.อารักษ์ พรหมณี รองปลัดกระทรวงแรงงาน บรรยายในโครงการสัมมนา เรื่อง สิทธิการรวมตัวต่อรองของแรงงานข้ามชาติ : บทเรียนรู้สู่อนาคต เรื่อง "แนวทางและความร่วมมือในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ" ว่า สิทธิเป็นเรื่องของอำนาจและประโยชน์ของบุคคลที่ได้รับตามกฎหมาย ซึ่งแนวทางและความร่วมมือจะต้องพิจารณาจากนโยบายของภาครัฐ ว่าจะมีการเอื้ออำนวยให้หรือไม่ โดยปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานข้ามชาติ ในการทำงานหลายประเภท และมองว่าแรงงานข้ามชาติ เป็นเรื่องของมิติด้านความมั่นคง ถึงจะเข้ามาถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย ก็จำเป็นจะต้องมีการทำสัญญาว่าจ้างกับนายจ้างให้ชัดเจน เพื่อให้มีความชัดเจนในเรื่องของแนวทางการปฏิบัติ และสิทธิที่พึงจะได้รับ
 
ทั้งนี้ ดร.อารักษ์ ยังกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับแรงงานข้ามชาติ
 
(ไอเอ็นเอ็น, 8/9/2558)
 
พนง.บ.วีพีอาร์ฯ ร้องประยุทธ์เอาผิดธ.อิสลาม หลังถูกกลั่นแกล้งให้กลายเป็นลูกหนี้  
  
เมื่อเวลา 09.00 ภายในสำนักงาน ก.พ. พนักงานจากกลุ่มบริษัท วีอาร์พี โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด จำกัด ประมาณ 80 คน นำโดยนายยุทธพงษ์ พุ่มรินทร์ กรรมการผู้จัดการ ฯ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เรื่องขอความเป็นธรรมกรณีบริษัทในกลุ่ม วีอาร์พี โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด จำกัด ยื่นเรื่องขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่อธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย แต่ถูกธนาคารกลั่นแกล้งให้กลายเป็นลูกหนี้ตกชั้น โดยเรียกร้องให้สอบสวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารอิสลามและผู้ที่เกี่ยวข้องและขอให้มีคำสั่งให้ธนาคารดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของบริษัท โดยตัดเงื่อนไขที่ขัดต่อกฎหมายและไม่ถูกหลักธรรมมาภิบาลออกไป โดยยื่นหนังสือผ่านนายสุขสวัสดิ์ สุวรรณวงษ์ หัวหน้าฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ และเดินทางกลับ
 
(เนชั่นทันข่าว, 8/9/2558)
 
รวบ 5 แรงงานเถื่อนพม่า โดนตุ๋น 2 หมื่น รอเก้อข้ามแดนไปมาเลย์
 
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 58 พ.ต.อ.กานต์ ธรรมเกษม ผกก.ตม.นราธิวาส มอบหมายให้ ร.ต.อ.ธนากร สับประสาน รอง สว.ตม.นราธิวาส นำกำลังจับกุมแรงงานต่างด้าวภายในสถานีขนส่ง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส หลังสืบทราบว่า มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาลักลอบเข้ามา เพื่อรอเวลาข้ามพรมแดนไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่พบแรงงานต่างด้าวจำนวน 5 คน นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ จึงแสดงตัวขอตรวจค้น ทราบชื่อคือ นายซัน นาย เวง อายุ 24 ปี นายมิว ซิ เอา อายุ 21 ปี นายเซา ฉุ่ย อายุ 28 ปี นายเมา อุ เซง อายุ 20 ปี และ นายซอ นาย ทุน อายุ 34 ปี พร้อมเอกสารหนังสือเดินทางประเทศเมียนมา จำนวน 3 เล่ม และบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย จำนวน 2 ใบ
 
จากการตรวจสอบพบว่า เป็นเอกสารปลอมที่ถูกปลอมแปลงขึ้น เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้ง 5 ราย ไปดำเนินคดีในข้อหาเดินทางเข้ามาอยู่ภายในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าว ใช้และอ้างเอกสารราชการปลอม
 
สอบสวนทราบว่า แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 5 ราย ได้ติดต่อนายหน้าชาวเมียนมาชื่อ นายเอา จอ เพื่อให้พาไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย โดยเสียเงินคนละ 20,000 บาท จึงได้เดินทางมาจากเกาะสอง ประเทศเมียนมา เข้ามายัง จ.ระนอง และนั่งรถทัวร์มาลงที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อรอให้นายหน้าอีกคนไม่ทราบชื่อ นำหนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวมาให้ จากนั้นได้นั่งรถตู้ต่อมาลงที่ อ.สุไหงโก-ลก เพื่อคอยให้นายหน้าอีกคนมารับแล้วเดินทางข้ามพรมแดนไปมาเลเซีย แต่เมื่อถึงสถานีขนส่ง อ.สุไหงโก-ลก ไม่มีใครมารับ จนกระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว
 
(ไทยรัฐออนไลน์, 9/9/2558)
 
รถบัสรับส่งพนักงานพุ่งชนประสานงารถบรรทุกสิบล้อที่ จ.อยุธยา
 
เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 9 ก.ย. พ.ต.ท.ธวัชชัย จันทร์เรือง พนักงานสอบสวน สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถบัสรับส่งพนักงานชนกับรถบรรทุก10 ล้อ บริเวณสี่แยกภาชี หมู่ 3 ต.ภาชี มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ที่เกิดเหตุบริเวณกลางสี่แยกดังกล่าว พบรถบัสรับ-ส่ง พนักงานโรงงานนิเด็ค อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ภายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ สีน้ำเงิน ทะเบียน 30-2120พระนครศรีอยุธยา ด้านหน้าพุ่งชนประสานงาอัดก็อปปี้กับรถบรรทุก 10 ล้อ ทะเบียน 80-3908 นครนายก สภาพตัวถังด้านหน้าพังยับเยิน ภายในรถบัสพบผู้บาดเจ็บประมาณ 20 ราย ซึ่งเป็นพนักงานโรงงานดังกล่าวร้องครวญครางรอการช่วยเหลืออยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่จึงเร่งลำเลียงส่ง รพ.ภาชีเป็นการด่วน สอบสวนเบื้องต้นนายอุบล เหล่าลูกอินทร์ อายุ 51 ปี ชาวสระบุรี คนขับรถบรรทุกให้การอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ตนขับรถบรรทุกจาก อ.นครหลวง เลี้ยวขวาไป จ.สระบุรี บริเวณแยกดังกล่าว ถูกรถบัสคู่กรณีแล่นฝ่าไฟแดงออกมาก่อนจะพุ่งชนประสานงาอย่างจังเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่คนขับรถบัสซึ่งได้รับบาดเจ็บให้การอ้างว่า ขณะที่กำลังขับรถบัสพาพนักงงานโรงงานมาถึงแยกดังกล่าว เห็นสัญญาณไฟกระพริบเป็นสีเหลืองจึงขับรถออกมา และชนกับรถบรรทุกดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ และสอบพยานแวดล้อม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
(เว็บไซต์เดลินิวส์, 9/9/2558)
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net